ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” หลังดอลลาร์แข็ง ตลาดลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อเดือนต.ค. รวมถึงยอดการส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่น
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาอ่อนค่าลงบ้าง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.40-32.49 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ในช่วงรอลุ้นผลประกอบการของ Nvidia (ซึ่งสุดท้ายออกมาดีกว่าคาด ทั้งผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 และคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 หนุนให้ราคาหุ้น Nvidia ปรับตัวขึ้นราว +5% ในช่วง After Market)
ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดต่างก็ทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม โดยเฉพาะโอกาสในการลดดอกเบี้ยเดือนธันวาคมนี้ ที่ลดลงเหลือราว 28% ซึ่งภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ กอปรกับการปรับลดความคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดก็มีส่วนกดดันให้ราคาทองคำ (XAUUSD) มีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ทว่า ราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการเข้าซื้อ Buy on Dip ของผู้เล่นในตลาดที่ต่างรอลุ้น รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯใหญ่ โดยเฉพาะบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Nvidia +2.9% หลังผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า รายงานผลประกอบการของ Nvidia อาจออกมาสดใสได้ (ซึ่งก็ออกมาดีกว่าคาดและคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ก็ยังออกมาดีกว่าคาด) ทว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯก็เผชิญแรงกดดันบ้างจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลดลง ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.38% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.59%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเพียง -0.03% แม้จะพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ ธีม AI/Semiconductor ไม่ต่างกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาทิ ASML +2.4% ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการบินและการทหาร อาทิ Rheinmetall -7.0% หลังทางการสหรัฐฯ มีความพยายามอีกครั้งในการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งประเด็นดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง กดดันหุ้นกลุ่มพลังงานยุโรป Shell -1.0% เช่นกัน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯทยอยปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 4.15% สอดคล้องกับการทยอยเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง สอดคล้องกับมุมมองของเรา ที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯอาจเคลื่อนไหวผันผวนได้ในช่วงนี้ ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ภาวะตลาดการเงินโดยรวม และประเด็นการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯโดยศาลสูงสุด
อย่างไรก็ตาม ยังคงมุมมองเดิมว่า หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ สามารถปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) เนื่องจากเราคงประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มทยอยเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีก 3 ครั้ง ครั้งละ 25bps จบที่ระดับ 3.25% ทำให้อาจยังพอเห็นการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ จากระดับ ณ ปัจจุบันได้บ้าง
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้นพบว่า เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง นอกจากนี้เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุดได้อ่อนค่าทะลุโซน 157 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 100.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 99.6-100.2 จุด)
ส่วนของราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯยังคงกดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.2025) ย่อตัวลง ทว่า ราคาทองคำก็พอได้แรงหนุนบ้าง ตามโฟลว์ซื้อตอนย่อตัวของผู้เล่นในตลาดที่ต่างรอลุ้น รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้น เข้าใกล้โซน 4,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากทาง BLS อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง ในเดือนกันยายน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามทั้งถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรายงานดัชนีภาวะธุรกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในช่วงราว 06.30 น. ของเช้าวันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายนนี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่นในเดือนตุลาคม รวมถึงยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ของญี่ปุ่น ในเดือนตุลาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดให้โอกาสเพียง 20% ที่ BOJ จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธันวาคมนี้
นอกจากนี้ผู้เล่นในตลาดจะติดตาม การพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยศาลสูงสุด (Supreme Court) นอกจากนี้ควรติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรเตรียมพร้อมรับมือกับการเคลื่อนไหวผันผวนสูงของเงินบาท (USDTHB) แม้ว่าโดยรวมเงินบาทยังคงมีโซนแนวต้านอยู่แถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับยังอยู่แถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ แต่เงินบาทก็เสี่ยงเคลื่อนไหวผันผวนสูงพอสมควร หลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯได้ โดยจากสถิติในอดีตย้อนหลัง 1 ปี เราพบว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ +/-1 SD ราว +/-0.40% หลังทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ราว 30 นาที ทว่าข้อมูลตลาดแรงงานที่จะได้รับรู้นั้น เป็นข้อมูลเดือนกันยายน ซึ่งตลาดก็พอจะรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากฝั่งเอกชน อาทิ ADP และ Revelio ไปแล้ว ทำให้ ความอ่อนไหวของค่าเงินบาทต่อรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯอาจลดลงจากสถิติในอดีตได้บ้าง
โดยกังวลว่า เงินบาทเสี่ยงกลับมาแข็งค่าขึ้นได้พอสมควร หากยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ออกมาต่ำกว่าคาด (น้อยกว่า 5 หมื่น ราย) สะท้อนภาพการชะลอตัวลงต่อเนื่องของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด กดดันให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯย่อตัวลง หนุนทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้ไม่ยาก
นอกจากนี้เงินบาทก็อาจได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น (ซึ่งอาจเร็วและแรง) ของเงินเยนญี่ปุ่นได้ ซึ่งจะขึ้นกับว่า รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯนั้น ชะลอตัวลง หรือเลวร้ายมากเพียงใด โดยการแข็งค่าขึ้นเร็ว แรง ของเงินเยนญี่ปุ่น (Sudden Appreciation of JPY) อาจเกิดขึ้นได้อีกครั้ง เหมือนในอดีต หากตลาดกลับมากังวลประเด็นเศรษฐกิจถดถอยในฝั่งสหรัฐฯ (Recession Fears) ซึ่งเรามองว่า อาจยังไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายนักในช่วงนี้ แต่อาจเป็นเพียงภาพการชะลอตัวลงของตลาดแรงงาน ที่ทำให้เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังในปัจจุบัน
แต่หาก ยอดการจ้างงานของสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาด เช่น จ้างงานเพิ่มขึ้น 6-7 หมื่นราย เป็นต้นไป หรือเซอร์ไพรส์มากแบบ 1 แสนราย เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างชัดเจน ทั้งในการประชุมเดือนธันวาคม (Completely Priced-Out rate cut) และการลดดอกเบี้ยในปีหน้า ที่อาจลดลงจากราว 3 ครั้ง เหลือ 1-2 ครั้งได้ ในกรณีนี้กอปรกับปัจจัยเชิงเทคนิคัล ก็อาจเห็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯได้พอสมควร กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาท
โดยเงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และทดสอบโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น ก็มีโอกาสอ่อนค่าลงต่อทะลุโซน 158 เยนต่อดอลลาร์ เข้าใกล้โซน 160 เยนต่อดอลลาร์ (ซึ่งอาจเห็นการส่งสัญญาณพร้อมเข้าแทรกแซงค่าเงินที่ชัดเจนจากทางการญี่ปุ่นได้) และเนื่องจากความผันผวนของเงินบาทได้กลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Govern ment Shutdown และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.60 บาทต่อดอลลาร์



















