หน้าแรกHighlight‘แบงก์ชาติ’ลุยปราบทุนเทา-เงินผิดก.ม. ออกเกณฑ์ให้‘รายงานธุรกรรมผิดปกติ’

‘แบงก์ชาติ’ลุยปราบทุนเทา-เงินผิดก.ม. ออกเกณฑ์ให้‘รายงานธุรกรรมผิดปกติ’

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“วิทัย” วางแผนปราบทุนเทา-เงินผิดกฎหมาย เตรียมออกมาตรการใหม่ให้สถาบันการเงินต้องรายงานธุรกรรมผิดปกติ บางประเภทส่งมาที่ ธปท. เพิ่มเติมจากการรายงานให้ ปปง. เพื่อติดตามเส้นทางเงิน คุมเข้ม “ร้านทอง-ร้านแลกเงิน” ป้องกันเงินบาทแข็งค่า

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. อยู่ระหว่างดำเนินการ คือ แก้ปัญหา ทุนเทา-เงินผิดกฎหมาย เพราะปัญหาเหล่านี้ทำให้ประชาชนเดือดร้อน เป็นความเสี่ยงต่อระบบการเงิน ธปท.จึงต้องเข้าไปช่วยแก้ไข โดยจะนำอำนาจตาม พ.ร.บ. สถาบันการเงินซึ่งเดิมไม่ค่อยใช้ กลับมาใช้ใหม่ เพื่อกำกับดูแลบางประเภทธุรกรรมที่มีความเสี่ยง

โดย ธปท. กำลังออกแบบเกณฑ์ใหม่ที่กำหนดให้สถาบันการเงินต้องรายงานธุรกรรมผิดปกติ ให้ธปท. เช่น เงินเข้าเงินออกหลักล้านบาท และโอนออกทันที ซึ่งผิดปกติหากเทียบกับพฤติกรรมปกติของเจ้าของบัญชี ซึ่งเกณฑ์เหล่านี้จะต่างจากการรายงาน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และเป็นรายการเฉพาะจุดที่ ธปท. จะใช้เพื่อติดตามและดำเนินการต่อ

“กฎหมายปัจจุบัน ธปท. ยอมรับว่าไม่มีข้อมูล การทำธุรกรรมการเงินที่เป็นเงินบาท ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินระหว่างบุคคล ระหว่างบริษัท หรือในประเทศใดๆ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ถูกส่งให้แบงก์ชาติ เพราะกฎหมายกำหนดให้รายงานไปยังปปง. เช่น การโอนการฝากเงินสดเกิน 2 ล้านบาท หรือธุรกรรมที่ต้องสงสัยได้ โดยธปท.จะเพิ่มรายการธุรกรรมแบบใหม่ ที่ธนาคารต้องรายงานให้ ธปท.โดยตรง เป็นธุรกรรมที่เห็นชัดในระบบ เช่น เงินเข้ากลางดึกจำนวนมากแบบกระจายไปหลายบัญชี ซึ่งจะเชื่อมโยงกับธุรกรรมออนไลน์ หรือพนันออนไลน์ ธปท.จะกำหนดว่า ธุรกรรมประเภทใดต้องรายงาน และธนาคารต้องทำอะไรต่อ หากไม่ดำเนินการจะมีโทษตามเกณฑ์ใหม่ แนวทางนี้ช่วยลดเงินเทาได้แน่นอน”นายวิทัย กล่าวและว่า ทั้งนี้ ธปท.จะกำหนดธุรกรรมต้องสงสัยว่า ประเภทใดบ้างที่ต้องชัดเจน ถูกต้อง ไม่ทำให้ระบบการเงินสะดุด ทุกอย่างต้องเริ่มต้นให้ถูกต้องและรอบคอบ

นอกจากนี้ การกำกับผู้เล่นนอกระบบธนาคาร เช่น ร้านแลกเงินกว่า 2,000 แห่ง ผู้ให้บริการโอนเงิน และผู้ให้บริการ e-Wallet ซึ่งที่ผ่านมาอาจควบคุมได้ไม่มากพอ แต่จากนี้ต้องกำกับเข้มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องยืนยันตัวต้นหรือ KYC หากเปิดบัญชีออนไลน์แบบไม่พบหน้า จะถูกจำกัดวงเงิน และวงเงินสูงขึ้นได้เมื่อมีการพิสูจน์ตัวตนพบหน้า เพื่อจับจุดเสี่ยงและทำให้จัดการปัญหาเร็วขึ้น ดังนั้น ร้านแลกเงินต่างๆ ต้องมีมาตรฐานเพิ่ม ไม่ใช่เปิดอย่างเสรี โดยไม่มีการควบคุม มาตรการเหล่านี้เป็นงานใหญ่และต้องดำเนินการในช่วงต่อไป

ส่วนการเข้าไปดูแลธุรกิจที่เกี่ยวกับทองคำนั้น ธปท. อยู่ระหว่างพิจารณาว่าควรขยายบทบาทอย่างไรในอนาคต ถ้าดูการซื้อขายทองคำในอดีต พบว่าส่วนใหญ่ทำผ่านร้านทอง แต่ปัจจุบันบริบทเปลี่ยนไป ธุรกรรมหลักย้ายไปอยู่บนแอปเทรดทองคำเป็นบาท ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตลอดทั้งวัน และมีมูลค่าธุรกรรมขนาดใหญ่ แต่ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพฤติกรรมลูกค้ากลับไม่ปรากฏในระบบกำกับดูแลของรัฐ ไม่ว่าลูกค้าจะซื้อทองจากหน้าร้านหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ ข้อมูลก็ไม่ถูกส่งให้หน่วยงานกำกับ ธปท.จึงไม่เห็นข้อมูลส่วนนี้

โดยเห็นว่าธุรกรรมทองปัจจุบันกระทบต่อค่าเงินค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำเป็นเงินบาท ส่งผลให้เงินบาทผันผวนเพิ่มขึ้นบางช่วง การซื้อขายทองคำด้วยสกุลเงินบาทส่งผลให้ร้านทองต้องบริหารความเสี่ยง ทั้งการทำธุรกรรมทองคำกับต่างประเทศ และการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ 

อย่างไรก็ตาม ธปท. มีข้อมูลร้านทองเฉพาะกรณีร้านทองทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) กับธนาคารพาณิชย์ในประเทศเท่านั้น แต่ไม่มีข้อมูลหากร้านทองซื้อขายทองคำกับตลาดต่างประเทศ การทำธุรกรรม FX ผ่านบริษัทในเครือในต่างประเทศ รวมทั้งกรณีทำธุรกรรมด้วยคริปโตเคอเรนซี ธปท. อยู่ระหว่างปรับประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อติดตามผลกระทบต่อค่าเงิน และกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องให้ตรงจุด

ส่วนบทบาทหลักแบงก์ชาติ คือ ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ผ่านการใช้นโยบายการเงินเพื่อรักษาอัตราเงินเฟ้อให้ต่ำและควบคุมได้ ควบคู่การทำให้ระบบการเงิน และระบบชำระเงินมีเสถียรภาพแข็งแรง  ความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจไทยช่วงนี้เป็น ปัญหาเชิงโครงสร้าง ต้องอาศัยการขยายบทบาทแบงก์ชาติเข้าไปช่วยแก้ไข

ทั้งนี้ช่วง 2 เดือนหลังเข้ารับตำแหน่ง ได้ดำเนินงานมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ผ่านโครงการ “ปิดหนี้ไว้ ไปต่อได้” สำหรับลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียไม่เกิน 100,000 บาท รวม 1.6 ล้านบัญชี คาดทำให้ลูกหนี้ราว 5-8 แสนรายหลุดสถานะหนี้เสีย กลับสู่ระบบเศรษฐกิจได้ การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่สามารถทำได้ด้วยมาตรการเดียว แต่ต้อง “ต่อจิ๊กซอว์” แก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ภาพรวมดีขึ้น

มาตรการอ แก้ปัญหาหดตัวสินเชื่อเอสเอ็มอี ที่ติดลบต่อเนื่อง 13 ไตรมาส ล่าสุดเดือนที่ผ่านมา สินเชื่อติดลบอยู่ที่ 4% จากด้านอุปสงค์ที่เศรษฐกิจไม่ดี ด้านอุปทานธนาคารไม่ปล่อยกู้ เพราะความเสี่ยงด้านเครดิตอยู่ในระดับสูง

โดยธปท.ร่วมกับกระทรวงการคลังและสมาคมธนาคารไทย กำลังสร้าง “กลไกค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี” รูปแบบใหม่ เพื่อลด Credit Cost และทำให้ธนาคารกลับมาปล่อยกู้มากขึ้น เตรียมใช้เงินจากกองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) ประมาณ 20,000 ล้านบาท ตั้งเป็นกองทุนค้ำประกัน คาดช่วยค้ำประกันสินเชื่อได้ราว 100,000 ล้านบาท

กลุ่มเป้าหมาย คือ เอสเอ็มอีขนาดกลางถึงใหญ่ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เช่น อาหารแปรรูป เกษตรแปรรูป และกลุ่ม Wellness รวมถึงอาจขยายไปสู่ค้าส่งค้าปลีก โดยธนาคารที่เข้าร่วมจะได้รับการค้ำประกันความเสี่ยง 10-30% โดยเฉลี่ย 20% เช่น หากธนาคารปล่อยสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท จะมีโควตาค้ำประกันความเสี่ยงราว 2,000 ล้านบาท เพื่อลดกังวลเรื่องหนี้เสีย และทำให้สินเชื่อใหม่เกิดขึ้นได้จริง

ขณะนี้ อยู่ระหว่างหารือขนาดสินเชื่อต่อราย และแหล่งเงิน FIDF ที่จะใช้ คาดได้ข้อสรุปสิ้นปี และเริ่มดำเนินการปี 2569 แม้การนำเงิน FIDF มาใช้จะทำให้การชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูช้าไปราว 6 เดือน แต่ผู้ว่าฯ ย้ำว่า หากไม่เริ่มทำอะไร ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น สินเชื่อเอสเอ็มอีติดลบต่อเนื่อง 13 ไตรมาสจะยังอยู่เหมือนเดิม 

ด้านนโยบายการเงินปัจจุบันยังอยู่ในทิศทางผ่อนคลาย กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายรวม 1% ตั้งแต่ปลายปีก่อนเพื่อประคองเศรษฐกิจที่เติบโตช้า และย้ำว่าทุกฝ่ายเห็นพ้องว่านโยบายดอกเบี้ยต้อง “สนับสนุน” ไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัว ประชุมครั้งถัดไป จะประเมินข้อมูลล่าสุดอีกครั้งว่าจำเป็นต้องผ่อนคลายเพิ่มเติมหรือไม่

ซึ่งหากดูปัญหาเศรษฐกิจที่โตช้าไม่ได้เกิดจากดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากปัจจัยโครงสร้าง นโยบายการเงินจึงเป็น ตัวเสริมม่ใช่เครื่องมือแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่หากจำเป็น ประเทศไทยยังมีช่องว่างลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ การลดดอกเบี้ยช่วยผ่อนคลายสภาพคล่อง และลดภาระหนี้เสียได้บางส่วน

สำหรับค่าเงินบาท การแข็งค่าที่ผ่านมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ดอลลาร์อ่อนลง 7% และไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูง สิ่งที่ต้องการเห็น คือ เงินบาทที่สะท้อนพื้นฐานเศรษฐกิจจริง ส่วนการแทรกแซงค่าเงินต้องระมัดระวัง เพราะไทยเข้าเกณฑ์ 2 ใน 3 ของเงื่อนไขที่สหรัฐใช้ติดตามประเทศคู่ค้าแล้ว การซื้อเงินตราต่างประเทศเกิน 2% ของ จีดีพีอาจถูกมองว่าเป็นการบิดเบือนค่าเงิน แม้ไทยมีเงินสำรองมากพอ ธปท.ทำได้เพียงลดความผันผวน ไม่สามารถกดหรือดันเงินบาทให้อยู่ระดับใดระดับหนึ่งได้ ยกเว้นเกิดความผิดปกติรุนแรง

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img