“พูนพงษ์” เปิดตัวเลข 10 เดือนปี ต่างชาติลงทุนในไทยสูงถึง 2.76 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 72%
สิงคโปร์แชมป์ 92,318 ล้านบาท ตามด้วย ญี่ปุ่น 78,285 ล้านบาท และจีน 25,404 ล้านบาท
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เปิดเผยว่า ช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม – ตุลาคม) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 869 รายเพิ่มขึ้น 83 ราย หรือ 11%หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 228 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือ ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 641 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 276,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115,567 ล้านบาท หรือ 72%หากเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 161,169 ล้านบาท
รวมถึงมีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวรวม 5,364 คน พิ่มขึ้นจากปีก่อน 2,331 คน หรือ 77% โดยมีจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่
1.ญี่ปุ่น 158 ราย คิดเป็น 18% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 78,285 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การออกแบบแม่พิมพ์และอุปกรณ์ รับการผลิตยานยนต์ การให้คำปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับกระบวนการผลิตยานยนต์ เป็นต้น ธุรกิจบริการให้ใช้ระบบเทเลเมติกส์สำหรับบริหารจัดการและติดตามตรวจสอบสถานะรถยนต์ ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และเครื่องใช้สำหรับแม่และเด็ก ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนเครื่องจักรสำหรับงานก่อสร้าง และเหล็กแผ่นเคลือบ
2.สหรัฐอเมริกา 127 ราย คิดเป็น 15% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 4,830 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิธุรกิจกิจการโฆษณา ธุรกิจบริการออกแบบ พัฒนา ติดตั้ง และบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์ม ธุรกิจบริการคิดค้น วิจัย และพัฒนาสูตรการผลิต ผลิตภัณฑ์จากผัก ผลไม้ และสินค้าการเกษตร ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น เครื่องประดับหรือชิ้นส่วนเครื่องประดับที่ผลิตจากโลหะมีค่า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ DC Cable และโลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ
3.สิงคโปร์ 126 ราย คิดเป็น 14% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 92,318 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อทำเครื่องเรือนและเครื่องใช้สอย ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย หรือ ให้บริการ ธุรกิจบริการติดตั้ง บำรุงรักษา และซ่อมแซมเกี่ยวกับเครื่องจักร ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป สายสวนหัวใจ (Mapping and Ablation System Catheter) ไส้กรองอากาศ (Air Filter) และชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม
4. จีน 116 ราย คิดเป็น 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 25,404 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อการผลิตถ่านกัมมันต์ ธุรกิจบริการรับจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์ตามความต้องการของลูกค้า ธุรกิจบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ โดยเป็นการทดสอบชิ้นส่วน หรือส่วนประกอบของอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ Flexible Printed Circuit Board ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป และชิ้นส่วนเหล็กทุบขึ้นรูป
5.ฮ่องกง 93 ราย คิดเป็น 11% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 13,198 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อทำเครื่องเรือนและเครื่องใช้สอย ธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานในอ่าวไทย ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ เช่น ระบบตรวจจับและป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น Rechargeable Battery ผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวมวลอัด ผลิตภัณฑ์กลุ่มภาพและเสียง และฟิล์มและบรรจุภัณฑ์พลาสติก
นอกจากนี้ ยังพบว่า การลงทุนของต่างชาติที่เข้ามา ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สูงถึง 424 ราย คิดเป็น 49% ของจำนวนการอนุญาตทั้งหมด 869 ราย มูลค่าลงทุน 210,101 ล้านบาท คิดเป็น 76% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด 276,736 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติของรัฐบาลที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมอนาคต (Future Industries) เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง ดิจิทัล AI ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด และเกษตรอาหาร โดยประเภทธุรกิจที่ได้รับอนุญาตผ่านช่องทาง BOI สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะ/พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น ซึ่งสนับสนุนการพัฒนา การผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
2.กิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุน (TISO) ที่มีส่วนสำคัญในการเพิ่มบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนและโลจิสติกส์ในภูมิภาค 3.ธุรกิจบริการด้านคอมพิวเตอร์ เช่น พัฒนาซอฟต์แวร์ และ Data Center เป็นต้น โดยตรงกับเป้าหมายเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) และการพัฒนา Data Center และ AI Services



















