หน้าแรกHighlight“พาณิชย์”เปิด6ปัจจัยเสี่ยงต้องเฝ้าระวัง หวั่นฉุดรั้ง“ภาคส่งออก”ไทยให้ชะลอตัว

“พาณิชย์”เปิด6ปัจจัยเสี่ยงต้องเฝ้าระวัง หวั่นฉุดรั้ง“ภาคส่งออก”ไทยให้ชะลอตัว

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“นันทพงษ์” เผย 3 ปัจจัยหลักหนุนส่งออกเดือนพ.ย. แต่ต้องเฝ้าระวัง 6 ปัจจัยเสี่ยงฉุดรั้ง ทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก-ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ส่งออกต.ค. ขยายตัวต่อเนื่องตามคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปลายปี

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้า เดือนพฤศจิกายนปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป ท่ามกลางสถานการณ์การค้าโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ 1.ความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรแปรรูป และอาหารในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 2.สินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยียังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก ตามการขยายตัวของ AI และ Data Center รวมถึงวัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และ 3.ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น

ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ 1.ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าหลัก 2.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค 3.ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าและมาตรการภาษีของประเทศคู่ค้าสำคัญ 4.ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่ม ยังเผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกิน และการแข่งขันทางด้านราคา 5.การแข็งค่าของเงินบาท และ 6.การเร่งนำเข้าสินค้าของคู่ค้าต่างประเทศอาจชะลอตัว จากการเร่งนำเข้าไปจำนวนมากก่อนหน้านี้ ทำให้สต๊อกสินค้าอยู่ในระดับสูง

ขณะที่ดัชนีราคาส่งออก เดือนตุลาคม 2568 เท่ากับ 111.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 0.6 (YoY) ตามคำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้าที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากกลุ่มสินค้าทองคำ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร ประกอบกับความต้องการบริโภคสินค้าเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปลายปี ส่งผลให้ หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับสูงขึ้น ประกอบด้วยหมวดสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ได้แก่ ทองคำ ตามความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น

เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตามความต้องการใช้งานเพื่อสนับสนุนการทำงานของ AI และ Data Center และเครื่องปรับอากาศ และส่วนประกอบ ตามต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทองแดง ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเครื่องปรับอากาศที่ราคาสูงขึ้น และหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 0.9 ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ตามการขยายตัวของตลาดอาหารสำเร็จรูปในตลาดหลัก อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และยุโรป และอาหารสัตว์เลี้ยงตามความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่ขยายตัวต่อเนื่อง

ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลงร้อยละ 6.6 ได้แก่ ข้าว ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง และยางพาราตามปริมาณผลผลิตในหลายประเทศที่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ทำให้มีการแข่งขันด้านราคาสูงขึ้น และหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 10.3 โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป ตามราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง

ดัชนีราคานำเข้า เดือนตุลาคม 2568 เท่ากับ 116.6 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวชะลอลงร้อยละ 3.1 (YoY) ปัจจัยหลักเป็นผลจากราคาสินค้าเชื้อเพลิงลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับการลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัวช้า และความต้องการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคชะลอตัว

อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคานำเข้ายังคงปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค ขยายตัวชะลอลงร้อยละ 6.8ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม และเครื่องประดับอัญมณี ตามความต้องการนำเข้าสินค้าจำเป็นและสินค้าฟุ่มเฟือยชะลอตัว จากกำลังซื้อประชาชนที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 โดยเฉพาะทองคำ ราคายังทรงตัวในระดับสูง ตามความต้องการสำรองทองคำของธนาคารกลางหลายแห่ง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ตามทิศทางราคาตลาดโลกของโลหะสำคัญเพิ่มขึ้น อาทิ ทองแดง และอะลูมิเนียมและปุ๋ย ราคายังทรงตัวสูงเมื่อเทียบกับปีก่อน ตามความต้องการใช้งานในภาคการเกษตร

หมวดสินค้าทุน ขยายตัวชะลอลงร้อยละ 4.5 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องมือ เครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ การทดสอบ โดยการนำเข้าขยายตัวชะลอลงตามความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ขยายตัวเล็กน้อยร้อยละ 0.1 ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ และส่วนประกอบและอุปกรณ์จักรยานยนต์
ตามความต้องการนำเข้าชิ้นส่วนเพื่อประกอบการผลิตในประเทศ และส่งออกเพิ่มขึ้น

ขณะที่หมวดสินค้าเชื้อเพลิงหดตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากกลุ่มโอเปกพลัสยังคงเพิ่มกําลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานส่วนเกิน

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img