หน้าแรกHighlight“เอกนิติ”เร่งรีเซ็ตเศรษฐกิจประเทศไทย! ประกาศชัดปี2569เป็น“ปีแห่งการลงทุน”

“เอกนิติ”เร่งรีเซ็ตเศรษฐกิจประเทศไทย! ประกาศชัดปี2569เป็น“ปีแห่งการลงทุน”

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เอกนิติ” ประกาศปีหน้าเป็นปีแห่งการลงทุน เร่งแก้หนี้ครัวเรือน และช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้มีลมหายใจ พร้อมเดินหน้าลดขาดดุล โดยมีเป้ามาต่ำกว่า 3% ของจีดีพีให้ได้ภายในปี 2572

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจในปีหน้าจะเป็นปีแห่งการลงทุน เราต้อง Reset เรื่องของการลงทุน จากที่ผ่านมาไทยโตด้วยการส่งออก  ประเทศไทยไทยพึ่งพาการส่งออกสินค้า และบริการ โดยการเติบโตของเศรษฐกิจ ต้องแก้หนี้ครัวเรือน และช่วยเอสเอ็มอีให้มีลมหายใจ เพื่อให้การเติบโตในประเทศเข้มแข็งมุ่งเน้นเสถียรภาพ ต้องไม่ใช่โตระยะสั้นเหมือนแต่ก่อน โดยก่อนปี 2540 เรามีปัญหาเรื่องสถาบันการเงิน และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถือว่าเป็นเรื่องวิกฤติ

ดังนั้น การเติบโตต้องเน้นในเรื่องการสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจแม้ว่า ปัจจุบัน NPL ของไทยอยู่ที่ไม่ถึง 3% เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 20% ซึ่งสถาบันการเงินไทยเข้มแข็ง ทุนสำรองแกร่ง ซึ่งปัจจุบันเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 4% เทียบกับหนี้ระยะสั้นมากกว่า 2.5%  สถานการณ์ต่างจากปี 2540 แต่การคลังเราอ่อนแอ

ซึ่งไทยโดนใบเหลืองทำให้ Outlook ไทยโดนปรับลดลงเครดิตเรตติ้งเป็น Negative ซึ่งไทยแก้โดยการคืนหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) และเราทำแผนเรื่องการคลังระยะปานกลาง เพื่อลดการขาดดุลให้ต่ำลงเรื่อยๆ โดยมีเป้ามาต่ำกว่า 3% ของจีดีพีให้ได้ภายในปี 2572

นอกจากนี้ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ และมีความเหลื่อมล้ำสูง คนมีรายได้ 20% กินสัดส่วนรายได้ 50% และคนที่รายได้น้อย 20% มีรายได้น้อยมาก แค่ 6% ของประเทศ และผู้มีรายได้น้อยเป็นผู้สูงอายุจำนวนมาก  ขณะที่ SMEs เราขาดสภาพคล่อง และความสามารถในการผลิตต่ำกว่าที่ควรจะเป็น จึงมีการนำเอามาตรการสนับสนุน SMEs เข้า ครม.ในวันนี้ และมีแพ็กเกจที่ออกมาเพื่อสร้างความเข้มแข็ง และให้มาตรการภาษีให้รายใหญ่ช่วย SMEs รวมทั้งมาตรการ การเร่งจ่ายเงินในส่วนของคู่ค้าทั้งรายใหญ่ และภาครัฐ โดยใช้การวางบิลผ่านระบบ PromtBiz เพื่อสร้างสภาพคล่อง SMEs ระยะยาว

ปัญหาประชากรที่น้อยลงต้องเร่งการทำ Reskills Upskills ให้คนไทยเก่งมากขึ้น เช่นการทำโครงการคนละครึ่งพลัสที่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยเพิ่มความสามารถให้กับพ่อค้าแม่ค้าให้เป็นผู้ประกอบการรายย่อยที่เก่งขึ้น เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ขณะที่การดึงคนที่เป็นบุคคลที่มีความสามารถเปิดให้คนที่มีเก่งมากๆ เข้ามาทำงานกับคนไทย แต่ไม่ใช่เรื่องการเข้ามาแบบเป็นสแกมเมอร์

ส่วนปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม จากการที่เราเห็นปัญหาที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่มาจากปัญหาโลกร้อน เราจะรองรับมันอย่างไร เพราะปัญหานี้จะมาอีกในอนาคต โดยจำเป็นเรื่องการถอดบทเรียนซึ่ง ครม.ได้มอบให้ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานทำงานในเรื่องนี้ เพื่อให้สามารถถอดบทเรียน หาทางป้องกัน และเราต้องทำในเรื่องที่สอดคล้องกับกติกาโลกในส่วนที่ส่งเสริมเรื่องเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม เช่น CBAM การเงินสีเขียว (Green loan) ที่เป็นโอกาสของธุรกิจไทย

ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมที่นักลงทุนยังให้ความสนใจคือ สาขาที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ เกษตรสมัยใหม่ (Smart Farming) อุตสาหกรรมอาหาร (Food Processing) สมาร์ตอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ Printed Circuit Board (PCB)  นอกจากนั้นยังมีการอัปเกรดฐานการผลิตรถยนต์เป็นรถยนต์ Hybrid หรือไฟฟ้า (EV) และศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub)

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่ได้เข้าไปดูในเรื่องของปัญหาคือ โครงการจำนวนมากที่ได้รับอนุมัติบัตรส่งเสริมแล้ว และพร้อมจะลงทุนจริง ซึ่งมีกว่า 80 โครงการ ที่มีมูลค่าประมาณ 460,000 ล้านบาท กลับติดปัญหาไม่สามารถลงมือได้จริง เนื่องจากมีอุปสรรคเรื่องน้ำ ไฟฟ้า วีซ่า การขออนุญาต และที่ดินเพื่อแก้ไขปัญหานี้จึงปลดล็อก โดยให้เป็นการลงทุนระหว่างภาครัฐ และเอกชน (PPP) เป็นการลงทุนกองทุน Infrastructure Fund โดยมีกลไกในเรื่องนี้อยู่แล้วสามารถทำได้ และช่วยในเรื่องนี้เพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยสามารถเติบโตได้ด้วย ซึ่งถือเป็นการปลดล็อกทั้งการลงทุน และศักยภาพการลงทุน

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img