คลังเตรียมเปิดแถลงข่าวชี้แจงโครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล เพื่อลดหย่อนภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาสูงสุด 8 แสนบาท ดีเดย์ 11 ธ.ค. ก่อนชงครม.อนุมัติสัปดาห์หน้า
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังแจ้งว่า กระทรวงฯ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะจัดการแถลงข่าวเพื่อชี้แจงรายละเอียดของแพ็คเกจส่งเสริมการออมชุดใหม่ หรือ โครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล (Thailand Individual Savings Account: TISA) ในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ ก่อนที่จะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมครม.ในสัปดาห์หน้า
โดยรายละเอียดของ TISA คือการปฏิรูปโครงสร้างสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อเตรียมพร้อมสู่สังคมสูงวัย ด้วยการกำหนดเพดานค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารวมสูงสุด 800,000 บาท โดยคนที่มีเงินได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี สามารถลดหย่อนได้ 1.3 เท่า ส่วนผู้มีเงินได้เกิน 1.5 ล้านบาทต่อปี ลดหย่อนภาษีได้ 0.7 เท่า รวมทั้งยกเว้นภาษี ณ ที่จ่าย ดอกเบี้ย-เงินปันผล 200,000 บาทแรก ซึ่งคาดว่าจะมีคนไทยได้รับประโยชน์จากเกณฑ์นี้ถึง 11.4 ล้านคน
ขณะเดียวกันยังมีโครงการพันธบัตร ออมพลัส เพื่อสร้างความมั่นใจในการออมระยะยาว ด้วยพันธบัตรรัฐบาลที่มีความมั่นคงสูง และการยกเว้นอากรแสตมป์สำหรับการซื้อประกันรายย่อย โดยทั้งหมดนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.) เศรษฐกิจมาแล้ว อย่างไรก็ดี ในการประชุมครม.เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมาได้ถอนวาระเรื่องดังกล่าวกลับไปทบทวนก่อน
นายปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ กล่าวว่า การส่งเสริมการออมรูปแบบ TISA มีต้นแบบจาก ISA ในอังกฤษ และ NISA ของญี่ปุ่น ซึ่งทั้ง 2 ประเทศประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนโครงสร้างสินทรัพย์ครัวเรือน โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่สัดส่วนการลงทุนต่อเงินฝากเพิ่มจาก 17% ในปี 58 เป็น 23.6% ปี 67 และมีผู้ใช้ NISA เพิ่มจาก 8.3 ล้านบัญชี ปี 57 เป็น 25.6 ล้านบัญชี ในปี 25
ซึ่งกระทรวงการคลังจะใช้กลไกลดหย่อนภาษีแทนการยกเว้นภาษี ซึ่งต่างจากของอังกฤษและญี่ปุ่น ที่ให้สิทธิประ โยชน์ลดหย่อนเงินปันผล และ Capital Gain Tax ทำให้ TISA มีลักษณะเหมือน LTF เวอร์ชั่นใหม่ที่เน้นให้ผลประโยชน์ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูง ไม่ใช่การปฏิรูปโครงสร้างที่แท้จริง
ขณะเดียวกันการกำหนดเพดานลดหย่อนภาษีรวมไม่เกิน 800,000 บาทต่อปี จะทำให้แรงจูงใจในการลงทุนในตลาดทุนลดลง เนื่องจากผู้เสียเงินได้บุคคลธรรมดาของไทยมีเพียง 15.9% ของประชากร ต่ำกว่า UK 50.6% และ ญี่ปุ่น 18.4% โดยกรณีNISA ของญี่ปุ่น ได้มีการปฎิรูปนโยบายการเงิน การคลัง รวมถึงพัฒนาธรรมาภิบาลไปพร้อมกัน ส่วนไทยเป็นเพียงแต่การสนับสนุนตลาดทุนผ่านมาตรการภาษีทำให้มีความเป็นไปได้ที่ TISA อาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
