ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.73 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” หลังเฟดมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ปรับเพิ่มคาดการณ์จีดีพีปีหน้า จาก 1.8% เป็น 2.3%
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 31.73 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดของวันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา ณ ระดับ 31.82 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา (วันที่ 10 ธันวาคม เป็นวันหยุดทำการของตลาดการเงินไทย) เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางในกรอบ Sideways ก่อนที่จะผันผวนสูงขึ้น และทยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด และถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในช่วง Press Conference (แกว่งตัวในกรอบ 31.72-31.87 บาทต่อดอลลาร์)
โดยเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง หลังเฟดมีมติไม่เป็นเอกฉันท์การลงคะแนน 9 ต่อ 3 เสียง ลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.50-3.75% ตามที่ตลาดคาด ทว่า คาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯล่าสุด สะท้อนมุมมองของเฟดที่มีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯมากขึ้น (เฟดปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในปี 2026 จาก 1.8% เป็น 2.3%)
อีกทั้ง คาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยใหม่ของเฟด (Dot Plot) ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมในส่วนของค่ากลาง (Median) ทำให้ผู้เล่นในตลาดมีความกังวลต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ทำให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำ (XAUUSD) และเงินบาท ก่อนที่สุดท้ายในช่วง Press Conference ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม แม้อาจจะค่อยเป็นค่อยไป (ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินเฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปีหน้า แต่ Dot Plot ยังสะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง) ส่งผลให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯพลิกกลับมาย่อตัวลงอีกครั้ง หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง สูงกว่าระดับก่อนรับรู้ผลการประชุม FOMC ส่วนเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นตามเช่นกัน
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังถ้อยแถลงของประธานเฟดยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯย่อตัวลงบ้าง และหนุนการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ส่วนใหญ่ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.67%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.07% หลังผู้เล่นในตลาดต่างระมัดระวังการซื้อขาย ก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด สะท้อนจากการย่อตัวลงบ้างของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ โดยเฉพาะหุ้นธีม AI/Semiconductor ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะ HSBC +3.2% และบรรดาหุ้นกลุ่ม Healthcare ขนาดใหญ่ อย่าง Novo Nordisk +3.3%
ส่วนตลาดบอนด์นั้นพบว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯเคลื่อนไหวผันผวน ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด ก่อนที่จะย่อตัวลงบ้างสู่ระดับ 4.13% หลังถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังพอมีความหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดอยู่ อนึ่ง เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนไปตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรยากาศในตลาดการเงิน โดยเรายังคงแนะนำให้ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เน้นในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯปรับตัวขึ้นเท่านั้น
ทางด้านตลาดค่าเงินนั้นพบว่า เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน แต่โดยรวมอ่อนค่าลง หลังถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า เฟดมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมและอาจลดดอก เบี้ยได้มากกว่าที่เฟดระบุไว้ใน Dot Plot ล่าสุด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงสู่โซน 98.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.5-99.3 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในปี 2026 หลังรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง Press Conference ยังพอช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.2026) สามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 4,270 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากเคลื่อนไหวผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟด
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ของสหรัฐฯ เพื่อประกอบการประเมินภาวะตลาดแรงงานและแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของผู้ว่าฯธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ BOE
ทางฝั่งเอเชีย บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.50% เพื่อหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังสหรัฐฯ ได้พยายามยุติสงครามดังกล่าวอีกครั้ง รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา หลังการสู้รบตามแนวชายแดนได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาทประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น และอาจจบสิ้นปีแถวระดับ 31.85+/-0.25 บาทต่อดอลลาร์ ตามที่เราคาดการณ์ไว้ในรายงานบทวิเคราะห์ Global FX Outlook 2026 (สามารถอ่านได้ใน LineOA หรือขอรับบทวิเคราะห์ฉบับบเต็มจากทาง Sales ของ Krungthai Global Markets) สอดคล้องกับโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทที่ยังคงมีกำลังอยู่ อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดได้รับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟดไปแล้ว ซึ่งไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้เรามองว่า ยังเหลือการประชุมธนาคารกลางสำคัญ โดยเฉพาะธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)
รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะฝั่งที่มีสถานะถือครองเงินบาท อาจเลือกที่จะรอรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางดังกล่าว ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนสถานะถือครองที่ชัดเจนอย่างมีนัยสำคัญได้ และแม้ว่าเงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด ตามแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน รวมถึงการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาดบ้าง อย่าง การขายทำกำไรสถานะ Short USD (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง) หลังผลการประชุม FOMC ของเฟด ก็ไม่ได้สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับตลาดมากนัก
ทั้งนี้ประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.65-31.85 บาทต่อดอลลาร์



















