‘ศิริกัญญา’ แนะจับตาข้อตกลงการค้าไทย-สหรัฐฯ หวั่นปมสินค้าสวมสิทธิ์เจออัตราภาษีสูงในอนาคต มองราคาข้าวต่ำ มาจากเหตุสต็อกข่าวในประเทศสูง แนะ เร่งระบายระหว่างเอกชนต่อเอกชน เพื่อเตรียมรับมือผลผลิตล็อตใหม่ปลายปีนี้
เมื่อวันที่ 9 พ.ย.68 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีที่จะได้พบกับนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมาเสวนาเกี่ยวกับนโยบายทางการค้า ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่จะต้องสรุปข้อตกลงทางการค้า ระหว่างประเทศไทย-สหรัฐอเมริกา ว่า ยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังไม่ได้มีความกระจ่าง จนกว่าข้อตกลงจะเผยแพร่สู่สาธารณะ และยังมีข้อกังวลใหญ่เรื่องผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง คือเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ เพราะยังไม่ได้มีการตกลงอัตราภาษี หรือการกำหนดอัตราใช้ชิ้นส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ (RVC) ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับเศรษฐกิจประเทศไทย
เมื่อพิจารณาตัวเลขส่งออกในช่วงนี้ถือว่ายังดีอยู่ แม้ว่าจะมีการประกาศอัตราภาษี 19% แต่สภาอุตสาหกรรมและสภาหอการค้าไทย ออกมาระบุว่าส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ ซึ่งหมายถึงไม่เกิดประโยชน์กับประเทศ แต่ภายใต้สมมุติฐานเร่งส่งออกช่วงหลังสำหรับสินค้าสวมสิทธิ์ ที่อาจเจออัตราภาษีที่สูงกว่านี้ในอนาคต เท่ากับว่าไทยยังไม่ได้มีการปราบปรามควบคุมการกระทำเช่นนี้ได้อย่างเด็ดขาดมากเพียงพอ
“ซึ่งมีการส่งออกอย่างมหาศาลและสอดคล้องกับการนำเข้ามามาก อาจจะผลิตในประเทศค่อนข้างน้อยแต่มีการส่งออกซึ่งตนอยากมาฟังนางศุภจีกล่าวในวันนี้ ” น.ส.ศิริกัญญากล่าว
เมื่อถามว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์ราคาข้าวต่ำสุดในรอบ 10 ปีนั้น น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า สต๊อกข้าวที่มีอยู่ในประเทศค่อนข้างมาก และการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ เป็นเพียงเอ็มโอยูที่มีระยะเวลา เช่นการขาย 500,000 ตันในระยะเวลาสามปี ห้าปี แม้จะได้เอ็มโอยูมาแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีการระบายข้าวทันที จึงเป็นเหตุที่ทำให้ราคาข้าวยังไม่ได้ดีขึ้น
“จึงต้องมีการปรับปรุงหาตลาดระบายสต๊อกข้าวได้ทันที เอกชนเอกชนไม่เพียงแค่รัฐต่อรัฐแต่ต้องระหว่างเอกชนและเอกชนด้วยกัน ที่จะเพิ่มปริมาณการส่งออกระบายสต๊อกข้าว เพื่อเตรียมรับผลผลิตข้าวล็อตใหม่ที่จะออกมาในช่วงปลายปีนี้”น.ส.ศิริกัญญา กล่าว






































