“อ้อนฟ้า” แถลงจีดีพีไตรมาส 3/68 ขยายตัว 1.2% ชะลอตัวลงจากไตรมาส 2/68 เหตุการลงทุน-ส่งออกเติบโตในอัตราที่ชะลอลง คาดทั้งปีโต 2% ส่วนปี 69 คาดว่าจะเติบโตในช่วง 1.2 – 2.2%
น.ส.อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3/68 ขยายตัว 1.2% ชะลอลงจากไตรมาสที่ 2/68 อยู่ที่ 2.8% และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3/68 ลดลงจากไตรมาสที่สอง2/68 ประมาณ 0.6% รวม 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) เศรษฐกิจไทย ขยายตัว2.4%
ทั้งนี้ในด้านการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัว 2.6% ต่อเนื่องจาก 2.6% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลลดลง 3.9% เทียบกับการขยายตัว 2.2% ในไตรมาสก่อน ด้านการลงทุนรวม ขยายตัว 1.1% ชะลอลงจาก 5.8% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชน ขยายตัว 4.2% ต่อเนื่องจาก 4.1% ในไตรมาสก่อน
ส่วนการลงทุนภาครัฐ ลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส 5.3% เทียบกับการขยายตัว 10.1% ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลดลงของการลงทุนในหมวดก่อสร้าง 6.6% ด้านการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 86,196 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.5% แต่ชะลอลงจาก 15% ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 เป็นต้นมา
ด้านการผลิต การขายส่งและการขายปลีกขยายตัวเร่งขึ้น ส่วนสาขาเกษตรกรรม สาขาที่พักแรม และบริการด้านอาหาร และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และสาขาการก่อสร้างปรับตัวลดลง
ขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ 0.76% ต่ำกว่า 0.88% ในไตรมาสก่อนและต่ำกว่า 1.02% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ -0.7%
ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 0.8% ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.7 พันล้านดอลลาร์ หรือ 88.3 พันล้านบาท เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ 262.4 พันล้านดอลลาร์และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 มีมูลค่าทั้งสิ้น 12.23 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.8% ของ GDP
ทั้งนี้ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัว 2% ชะลอลงจากการขยายตัว 2.5% ในปี 2567 ซึ่งยังคงประมาณการเอาไว้ตามการประเมินในครั้งก่อน อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ (-0.2%) และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.8% ของ GDP
ขณะที่ แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ในปี 2569 สศช.ประเมินว่า มีแนวโน้มขยายตัวในช่วง 1.2 – 2.2% โดยมีค่ากลางการประมาณการ 1.7% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาล การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการเพิ่มขึ้นของผลผลิตทางการเกษตร
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ การชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก และภาระหนี้สินภาคเอกชนที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูงรวมทั้งความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก และบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง
โดยในกรณีฐาน คาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว 2.1% และ 0.9% ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์ ลดลง 0.3% อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0.0 – 1.0% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.4% ของ GDP
“ผลกระทบภาษีทรัมป์คาดว่าในปี 69 ปริมาณการค้าโลกลดลงเหลือ 2.3% โดยไทยมีสินค้าที่จะถูกผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐกว่า 82% ซึ่งมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ขณะที่สินค้าที่มีการสวมสิทธิ์เพื่อส่งออกมีสินค้าจากจีนที่สวมสิทธิ์เพื่อส่งออกของไทยก็มีสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ขณะที่โครงสร้างการส่งออกสินค้าของไทยไปสหรัฐเพิ่มขึ้น และสินค้าที่เรานำเข้าจากจีนก็เพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญที่ต้องมีการพิจารณากันต่อไป” น.ส.อ้อนฟ้า ระบุ



















