อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดแนวทางสืบสวนคดี “คุก VIP และจีนเทา” สางปมขบวนการจัดหาสาวสวยบำเรอสวาท ไม่เน้นแค่เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ แต่ต้องขยายผลสาวไส้ทั้งเครือข่าย เชื่อมีเงินหมุนเวียนมหาศาล ขณะที่ 2 นักโทษจีนเทา ถูกย้ายไปนอนเรือนจำคลองเปรม
จากกรณีนางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม มีคำสั่งลงนามโยกย้าย นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อันเนื่องจากการจู่โจมตรวจค้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา และพบว่ามีเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิดในเรือนจำฯ รวม 15 ราย และได้ย้ายเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าที่ยังกรมราชทัณฑ์ หลังจากตรวจพบว่ามีผู้ต้องขังชาวจีนบางราย ที่มีอิทธิพลเหนือผู้ต้องขังรายอื่นภายในเรือนจำฯ จนสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ต้องขังชาวไทย จึงมีผู้แจ้งเบาะแสมายังกรมราชทัณฑ์ให้ทราบถึงพฤติการณ์ดังกล่าว ขณะที่ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดยมี นายไพฑูรย์ มงคลหัตถี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม เป็นประธาน และเตรียมนำเจ้าหน้าที่เข้าสอบสวนข้อมูลในวันพรุ่งนี้ (24 พ.ย.68)
ขณะที่เมื่อวานนี้ (22 พ.ย.68) พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้นำคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เดินทางเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนมอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ตั้งเรื่องสืบสวน เพื่อเตรียมรับเป็นคดีพิเศษในฐานความผิดที่พบพยานหลักฐานอันมีลักษณะเข้าเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ตามที่มีรายงานข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 23 พ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายการสืบสวนดังกล่าวต่อกองคดีความมั่นคง เพื่อดูว่าเข้าลักษณะคดีพิเศษในกรณีใด ประกอบด้วย 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.พิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไหน อย่างไร มีใครเกี่ยวข้องโดยมีพยานหลักฐานใดยืนยันบ้าง 2.เจ้าหน้าที่คนใดเป็นตัวการ หรือช่วยเหลืออำนวยความสะดวก รวมทั้งขยายผลหากมีผู้มีอิทธิพลคนใดช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง และ 3.กลุ่มหรือเครือข่ายผู้ต้องขังชาวต่างชาติที่ซื้อบริการถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับเรื่องใด และพัวพันกับคดีข้ามชาติอื่น ๆ อีกหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่ามีทรัพย์สินที่หมุนเวียนใช้ในการกระทำความผิดจำนวนมาก โดยจะวิเคราะห์จากเส้นทางการเงิน เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงประกอบการสืบสวน
ขณะที่ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ระบุถึงแนวทางและวิธีการสอบสวนข้อเท็จจริง เรื่องการพบสิ่งของต้องห้าม และสิ่งของไม่อนุญาตให้มีครอบครอง หรือใช้ในเรือนจำ ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 72 มาตรา 73 ของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ภายใต้การอำนวยการของนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำฯ ว่า ภายหลังเกิดเหตุการณ์ฉาวขึ้น
นอกเหนือจากกระบวนการของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วนั้น กรมราชทัณฑ์ได้มอบหมายให้นายยุทธนา นาคเรืองศรี รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ เข้าไปจัดระเบียบภายในเรือนจำ ซึ่งจะต้องสิ่งของต้องห้าม และสิ่งของไม่อนุญาตให้มีครอบครอง หรือใช้ในเรือนจำ อาทิ มีด บุหรี่ซอง เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ ตู้เย็น ไมโครเวฟ แอร์เคลื่อนที่ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจค้นจู่โจมเมื่อวันที่ 16 พ.ย. มีการตรวจค้นถึงสามครั้ง โดยชุดเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษตรวจค้นจู่โจมในครั้งแรก จะไม่มีเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่เป็นการขอรับแรงสนับสนุนจากเรือนจำข้างเคียง และเรือนจำอื่นจากจังหวัดต่าง ๆ อีกทั้งวันพฤหัสบดีที่ 20 พ.ย. ก็ได้ตรวจค้นจู่โจมอีกครั้ง อย่างไรแล้วสิ่งสำคัญคือ การไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อจะได้รวบรวมพยานหลักฐาน พยานวัตถุทั้งหมดนำส่งให้ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
สำหรับแดนขังภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่มีนักโทษจีนเทาอยู่นั้น จะมีด้วยกัน 3 แดน คือ แดน 2 แดน 4 และแดน 8 แต่แดน 8 คือ แดนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และอยู่ด้านในสุด มีผู้ต้องขังกว่า 900 คน ทั้งยังอยู่ติดกับแดนสูทกรรม ที่จะมีผู้ต้องขังตื่นมาทำกับข้าวแต่เช้า และอีกส่วนหนึ่งคือโรงงานช่างไม้ ซึ่งหมดสภาพความเป็นโรงงานไปแล้ว จึงอาจถูกใช้เป็นที่ซ่องสุมกันของผู้ต้องขังจีนเทา ซึ่งชุดตรวจค้นจะต้องตรวจค้นแดน 8 (ล้างคุก) อย่างระมัดระวัง เพราะอาจมีของต้องห้ามบางอย่างที่ผู้ต้องขังจีนเทาอาจฝังไว้ในดิน แล้วนำมาใช้ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตรวจค้นได้ และจะได้นำกุญแจไปปิดห้ามเข้าใช้งานพื้นที่
นอกจากนี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ระบุอีกว่า นอกจากเรื่องตรวจค้นจู่โจมแดน 8 ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แล้วนั้น ยังต้องรวบรวมข้อมูลจากคำบอกเล่าของผู้ต้องขังอื่น ๆ ในแดน 8 และแดนใกล้เคียงด้วยว่า ตลอดระยะเวลาที่ถูกคุมขังนั้น เจ้าหน้าที่ผู้คุมมีการปฏิบัติหน้าที่อย่างไร ให้อภิสิทธิ์ผู้ต้องขังจีนเทาอย่างไรบ้าง หรือผู้ต้องขังรู้สึกไม่ได้รับความเท่าเทียมจากพฤติกรรมการปฏิบัติของผู้คุม และหัวหน้าฝ่ายควบคุมแดนอย่างไร เนื่องด้วยจากการตรวจค้นจู่โจม พบว่ามีซองบุหรี่ยี่ห้อของคนจีนอยู่ด้วย ดังนั้น มันก็เป็นประเด็นขยายดูต่อไปว่า “ใครเป็นคนจัดหามาให้” หรือ “ใครเป็นคนสั่งซื้อ” หรือ “เจ้าหน้าที่จัดหามาให้เองแล้วนำเข้าไปให้ผู้ต้องขังจีนเทา หรือมีเอเจนต์จัดหามาให้เจ้าหน้าที่เรือนจำ เพื่อนำเข้าไปให้ผู้ต้องขังจีนเทา” หรือ “ผู้ต้องขังสั่งเจ้าหน้าที่ให้นำเข้าไปให้”
ส่วนเรื่องการตรวจสอบเส้นทางการเงิน อาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเล็กน้อย เพราะต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ล้วนใช้บัญชีม้า (บัญชีบุคคลอื่น) หรือใช้นอมินีรับเงินแทนตัวเอง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพฤติกรรมส่วนตัวของผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ชื่นชอบเดินทางไปมาเก๊า นั้น สามารถใช้ตรวจสอบคู่ขนานกับข้อมูลเรื่องห้องลับใต้บันได และเรื่องทุจริตได้ด้วย เพราะถ้าหากเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน ก็มีแนวโน้มที่หัวใจสำคัญของการตรวจสอบจะไปอยู่ที่เรื่องการรับเงิน เพื่อนำไปใช้เล่นการพนันหรือไม่ อย่างไร ฉะนั้น แรงจูงใจของการไปมาเก๊าคืออะไร
อีกทั้งที่มาที่ไปของห้องใต้บันไดดังกล่าว มีการปรับปรุงสภาพเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างไร และเกิดขึ้นในสมัย ผบ.มานพ หรือไม่ หรือเกิดขึ้นก่อนมาเข้ารับตำแหน่ง เพราะถ้าหากมีการปรับปรุงในยุคของ ผบ.มานพ จริง ๆ ก็จะต้องขยายดูต่อว่า ใช้เงินแหล่งใดมาปรับปรุงห้องดังกล่าว เพราะเงินที่จะใช้ ก็จะมีแค่งบประมาณของกรมราชทัณฑ์ หรือเงินพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังของกองพัฒนาพฤตินิสัย (กพน.) ซึ่งถ้าไม่ใช่เงินจากแหล่งราชการเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะดูต่อว่า “เป็นเงินจากผู้ต้องขังจีนเทาอุปถัมภ์หรือไม่”
ทั้งนี้ มีรายงานเพิ่มเติมว่า ผู้ต้องขังจีนเทา 2 คน ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มผู้ต้องขังจีนนั้น กรมราชทัณฑ์ได้ย้ายไปคุมขังที่เรือนจำกลางคลองเปรม เนื่องด้วยยังเป็นผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดีของศาล โดยให้ทั้งคู่ต้องแยกแดนคุมขัง



















