‘อนุทิน’ ปาฐกถาชี้ ไทยกลับเข้าสู่เรดาร์โลก หลังใช้โอกาสพบผู้นำหลายประเทศแม้เป็นนายกฯ แค่ 4 เดือน เบรกประเทศที่ 3 แค่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย อย่าทำตัวเป็นคู่เจรจา มาอ้างบทลงโทษ ย้ำ ไม่ยอมเสียอธิปไตย เดินหน้าทางการทูต ขู่ข้ามเส้นมาก็น่าดู ยืนยัน ’ยุบสภา‘ คืนอำนาจแน่ ท้า ’ฝ่ายค้าน‘ รอไม่ไหวยื่นซักฟอกพร้อมยุบ 12 ธ.ค.นี้ทันที ฝากประชาชนเลือกกลับมา บอก วันนี้รากฐานพร้อมแล้ว แนะ ดูให้ดีรอบหน้าตัวเลือกไม่เยอะ โว นโยบายดี มีบารมีเยอะ มั่นใจทำไทยก้าวกระโดด เชื่อ แม้นักการเมืองปากดี-ปากเสีย แต่หวังดีกับประเทศ รับทำ ’คนละครึ่งพลัส‘ ลอกนโยบาย ’ลุงตู่‘ นายเก่า เดินไปไหนมีแต่คนชม
เมื่อวันที่ 20 พ.ย.68 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “PRACHACHAT OUTLOOK THAILAND 2026 : ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ” ว่า งานวันนี้ (20 พ.ย.) เกิดขึ้นประจวบเหมาะกับเวลาของโลกที่กำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง รวมไปถึงเทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งประเทศไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเป็นใจกลางของความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
นายอนุทิน กล่าวว่า โจทย์ที่สำคัญในวันนี้ของเราคือ เรากำลังเผชิญอะไรและประเทศไทยควรปรับเปลี่ยนและไปต่ออย่างไรบ้าง เพื่อก้าวเข้าสู่โลกที่มีความซับซ้อน และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการแข่งขันทั้งทางเทคโนโลยี และใช้คำว่าภูมิรัฐศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องกับนโยบายที่แต่ละประเทศได้กำหนด และต้องสอดคล้องกับกฎกติกาใหม่ของโลก ซึ่งตัวที่เป็นวัดสำคัญการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติหรือที่เรียกว่า sustainable development goal
นายอนุทิน กล่าวว่า ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนแทบจะไม่ได้อยู่ในประเทศไทย เพราะต้องเดินทางไปร่วมประชุม ทั้งอาเซียนและเอเปก และเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งสิ่งที่ได้กลับมาในโอกาสที่หัวหน้ารัฐบาลเดินทางไป ก็ได้ประโยชน์ให้กับประเทศไทยมากมาย ซึ่งคำว่า ’ปรับเปลี่ยนและไปต่อ‘ เกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งเป็นครั้งที่ดีมาก เพราะการมีแนวคิดปรับเปลี่ยนและไปต่อในการศึกษา ด้าน Engineering ที่ตนได้เรียนมาคือ ไดนามิค เพราะเราอยู่เฉยไม่ได้ เพราะหากมัวเฉย ฟันเฟืองต่างๆ ติดขัดไปหมด แต่หากมีการปรับเปลี่ยนและเดินไปเรื่อยๆ ทุกวัน จะทำให้เราไม่มีวันหยุดนิ่ง และไปในจังหวะสถานการณ์ต่างๆของโลกที่ไม่ได้อยู่นิ่งเหมือนกัน
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า วันนี้โจทย์ทั้งหลายที่ตนได้ไปพบกับผู้นำหลายประเทศ ในเวลาที่เดินทางไปประชุม ตนก็จะขอปรับเวลาที่มีช่องว่างไปพบกับหลายคนด้วย ซึ่งตนเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องปรับนิสัยด้วย ไม่รอให้ใครมาพบ แม้จะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเล็กกว่า ตนก็จะขอเวลาเพื่อไปพบและพูดคุย เพื่อสานต่อในเรื่องที่พูดคุยตกลงค้างคาไว้เพื่อเดินหน้าสองฝ่าย
นายอนุทิน กล่าวถึงนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน มีคนแนะนำว่าท่านเป็นคนเก่งเรื่องการต่างประเทศ ตนได้ทำงานร่วมกันในต่างประเทศ 2-3 ครั้ง ท่านเห็นว่าเราไปต่างประเทศได้พบกับผู้นำหลายประเทศมาก รวมถึงภาคเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้เห็นว่าเกิดประโยชน์ไม่มากก็น้อย สิ่งที่นายสีหศักดิ์ได้พูดกับตนคือ นายสีหศักดิ์ดีใจที่ได้ทำงานด้วยกัน รู้สึกว่าประเทศไทยได้กลับมาในจอเรดาร์
“เมื่อได้ฟังคำนี้รู้สึกเหมือนถูกทุบไปกลางหน้าอก เพราะขนาดท่านทูตสีหศักดิ์ ยังพูดคำนี้มา เพราะที่ผ่านมารู้สึกหายไปจริงๆ เพราะไม่มีใครเข้ามาสนใจ ทุกอย่างเป็นไปตามมารยาท กลไกปกติ แต่เมื่อพวกเราเข้ามา เหมือนเป็นการสร้างแรงขับเคลื่อนพิเศษ ซึ่งรัฐมนตรีสีหศักดิ์ยังรู้สึกแปลกใจ ที่ต้องรู้สึกสนิทสนมนั้น เพราะตนเป็นคนไม่ชอบกลับบ้าน สถานทูตในประเทศไทยใครเชิญตนไปงานวันชาติ ไม่ว่าประเทศเล็ก มหาอำนาจ ใครเชิญตนไปหมด อย่างน้อยไปดูวิดีโอว่าประเทศเขามีอะไรและจะได้กินอาหารพื้นเมืองอร่อยๆ ฟรีไปหนึ่งมื้อ ได้พบกับข้าราชการไทย นักธุรกิจ ทูตประเทศอื่นๆ ทำให้ความร่วมมือเกิดขึ้น
นายอนุทิน กล่าวว่า ย้อนไปในช่วงที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีคนติดต่อมาช่วงสถานการณ์โควิด เพื่อเสนอ อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเข้ามาช่วยประเทศไทย เมื่อเราได้รับการช่วยเหลือ เราก็ช่วยเหลือเขาไปเช่นกัน ทุกวันนี้ต้องการช่วยเหลือกันและกัน มองข้างเดียวไม่ ดังสุภาษิตไทยเป็นแบบนี้เสมอ แต่ปัญหาที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้คือทรัพยากรของโลกลดน้อยลงไปเรื่อยๆ คนเกิดน้อยคนตายน้อย ทำให้มีผู้สูงอายุจำนวนมาก จึงต้องหันไปพึ่งพาเทคโนโลยี และมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาแทนคน การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และคำว่าภูมิรัฐศาสตร์กลายเป็นคำสำคัญที่เดินเข้ามาเป็นตัวกลางในการขับเคลื่อนของโลก
นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังใช้กรอบต่างๆ ในการดำเนินก้าวต่อ ตามที่กรอบของโลกทั้งโลกกำหนดขึ้นมา เราไม่ได้ตกขบวน ทั้งเรื่องความร่วมมือเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD เพื่อให้รู้ว่าเรามีธรรมาภิบาล เรื่อง BCG การอนุมัติให้มีไฟฟ้า ที่เป็นโซลาร์เพิ่มมากขึ้น , รัฐศาสตร์ของโลกบางคนได้ยินและกังวลถึงขั้นว่า แบบนี้จะวุ่นวายหรือไม่ จะเกิดสงครามหรือไม่ ตนยังเห็นว่า ณ วันนี้ทุกประเทศไม่มีใครอยากเดินถอยหลังไปสู่ยุคเดิมๆ ที่ใช้อาวุธมาสู้รบกันกับประเทศเพื่อนบ้าน หากเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ต้องใช้การเจรจาทางการทูตเพิ่มมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นว่าหากข้ามเส้นมาก็น่าดูเหมือนกัน
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ตนถึงบอกมาตลอดว่า “แม้หวังตั้งสงบ แต่ส่งเสียงรบให้พร้อมสรรพ” นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยกำลังดำเนินอยู่ ดังนั้นขอให้ทุกคนสบายใจได้ว่า ประเทศของเราจะไม่สูญเสียอธิปไตย เสียเปรียบ หรือรบแพ้ ยืนยันว่าไม่มี ตนถามพี่ ๆ ในกองทัพทุกคน ว่ามีความมั่นใจหรือไม่ ทุกคนบอกตรงกันว่า อย่าให้ไปถึงจุดนั้นเลย แต่หากจำเป็นก็พร้อม เมื่อตนได้ยินคำนี้ก็รู้แล้วว่าจะไปต่ออย่างไรในการที่จะไปคุยกับประเทศคู่กรณี และประเทศที่พยายามจะจับให้ทั้งสองฝ่ายทำความเข้าใจกันให้มากที่สุด ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลา เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเปรียบเทียบกับชีวิตของเรา เวลาโกรธกับใครใช้เวลาแค่เสี้ยววินาที แต่กว่าจะดีกันได้ต้องใช้เวลา ตั้งกฎระเบียบอะไรขึ้นมาหลายอย่าง กว่าจะดีกันได้ก็ต้องให้เพื่อนคนที่ 3 นัดเราไปกินข้าวอีกครั้ง เป็นเรื่องปกติ ฉันใดก็ฉันนั้น เราก็ใช้องคาพยพที่เรามีอยู่สร้างความมั่นคงแข็งแรง
“ในกรณีที่มีคนมาบอกว่า หากไม่ดีจะลงโทษแบบนั้นแบบนี้ ในการเป็นคนกลางคนไกลาเกลี่ย ก็ทำหน้าที่ไป อย่ามาทำตัวเป็นคู่เจรจากับเรา มันก็อยู่ที่เราจะควบคุมตรงนี้อย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามความคาดหมายที่หวังไว้ อาจจะมีออกนอกกรอบบ้าง แต่ต้องปรับเปลี่ยนและไปต่อ”นายกฯ กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า คำว่าภูมิรัฐศาสตร์ต้องหาจุดแข็งของเรา เพื่อให้ประเทศอื่นรู้สึกว่า อย่าสู้ประเทศไทย ซึ่งทุกครั้งที่ตนไปพูดในเวทีต่างประเทศ ที่ทุกคนตั้งใจฟังคือเรื่อง healt care และ medical tourism ถึงแม้ว่าประเทศอื่นจะมีตัวยาและเทคโนโลยีที่ดีกว่า แต่สิ่งที่ประเทศอื่นไม่มีเหมือนประเทศไทยคือ Care เชื่อว่าไม่ว่าใครเข้ามาเจอพยาบาลของไทย ที่ใส่ใจการบริการ ไม่มีใครสู้ได้ เพราะทุกคนโลกนี้ ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่มาจากไหนกลัวเข็มหมด ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยโม้ได้ ไม่จำเป็นต้องรักษาตัวในกรุงเทพฯ อาจจะไปที่ภูเก็ต และสามารถไปพักฟื้นที่รีสอร์ทต่อได้ ซึ่งหากจินตนาการภาพเหล่านี้ เขาไม่สามารถหาได้จากประเทศไหน ซึ่งนอกจากจะดูแลผู้ป่วยแล้ว เรายังได้ญาติเขามาด้วย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว เป็นสิ่งที่ประเทศไทยขายได้ หาที่สองยังไม่ได้ อย่าว่าแต่หาคู่แข่งเลย
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า เมื่อเราอยู่ในวงการของโลกเราก็รู้ว่าสิ่งไหนที่เราต้องไปเจรจากับเขา หรือเรียกง่ายๆ ว่าการต่อรอง เป็นทุกเวทีขึ้นอยู่กับว่าเราจะมีความมั่นคงแข็งแรงอย่างไร เพราะโลกทุกวันนี้อยู่ด้วยคำว่าประสานประโยชน์ หรือคำว่าสมประโยชน์ ไม่มีคำว่า winner take all หรือ zero some game มีแต่คำว่า “win win” และโอกาสของเราคือเมื่อเราทำตัวเป็นพันธมิตรกับโลกก็ต้องเป็นพันธมิตรกับโลกทั้งใบไม่มีผูกขาดต้องเป็น เพื่อนที่มีผลประโยชน์ด้วยกัน ตรงไหนมีผลประโยชน์ก็จะจับมือร่วมกันแต่ตรงไหนไม่ลงตัวก็หาวิธี หากไม่มีวิธีก็ต้องไปหาคนที่พร้อมจะจับมือกับเราซึ่งมีอยู่ตลอดเวลาไม่เคยมีทางตัน
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการลงนามสำคัญในการศึกษาแรร์เอิร์ธกับสหรัฐอเมริกา มีคนพูดมากมายว่าไปเซ็นลงนามแล้ว จะทำให้ถูกบีบเรื่องภาษี แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เห็นว่าหากสหรัฐสามารถมาทำเรื่องนี้ร่วมกับไทยได้ก็จะเป็นประโยชน์ ซึ่งไทยเองก็ไม่ได้ผูกขาด คนไม่รู้เรื่องก็ไปโวยวายกันใหญ่ว่าให้สัมปทานกับอเมริกายกผลประโยชน์ให้ เพียงประเทศเดียวซึ่งไม่ใช่เลย และMOU ที่ลงนามไปสามารถฉีกเมื่อไหร่ก็ได้ซึ่งเรื่องนี้เป็นเพียงพิธีกรรมที่อยู่ในเวทีโลกเป็นเพียงช่องหน้าต่างประตูเล็กๆ คือหากวันไหนเรื่องนี้เป็นความจำเป็นขึ้นมาอย่างน้อยก็ยังเป็นประตูที่ทำให้ทั้งสองประเทศสามารถพูดคุยกันได้ โดยในข้อตกลงไม่มีระบุว่าประเทศที่เป็นคู่สัญญากับเราต้องถือแร่ธาตุเหล่านี้ก่อน หรือให้เขาดำเนินการก่อนศึกษาและให้สัมปทานในการขุดเจาะยืนยันว่าไม่มีแม้แต่นิดเดียว เรายังสามารถให้กับคนหลายคนได้แต่คนขี้โวยวายในประเทศนี้ ออกมาบอกว่าประเทศไทยเสียเปรียบ แต่ไม่ใช่เราประเทศเดียวทุกประเทศก็ร่วมลงนาม จึงขออย่าโวยวายต้องเลิกเป็นกระต่ายตื่นตูมประเทศเราต้องนิ่งให้เป็นไม่ต้องไปเต้นอยู่ตรงโน้นถือตรงนี้ทีเพราะเรายืนอยู่บนขาตัวเองได้ อย่าไปเชื่อว่าต้องเอนกับฝ่ายนั้นฝ่ายนี้จนเกินไปเพราะเดี๋ยวหากเค้าขยับตัวนิดเดียวเราก็ล้มลง ไม่ใช่เอนไปขั้วใดขั้วหนึ่งแต่ต้องเป็นขั้วที่ 3 คือ พยายามอยู่เป็นขั้วของตัวเอง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการแข่งขันจากนี้ไปของประเทศไทยหากจับเรื่องพวกนี้รัฐศาสตร์ก็ต้องแข่งขันทั้งเรื่องสติปัญญาการเดินเข็มยุทธศาสตร์ให้ประเทศของเราได้ประโยชน์สูงสุดบนความเข้าใจร่วมกันว่าทุกประเทศก็คิดเช่นเดียวกันกับเราการจะอยู่กันได้ต้องประสานประโยชน์และมีความเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน เราต้องกำหนดเป้าหมายและยุทธศาสตร์ให้ถูก ผลลัพธ์ที่จะได้คือความก้าวหน้าและความเจริญยั่งยืนในประเทศ
ส่วนเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ตนยืนยันมาตลอดเวลาและถือเป็นหลักปฏิบัติ คือการรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้มากที่สุดไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ด้านความมั่นคงเศรษฐกิจหรือทางการทูต ซึ่ง หากคันนี้อยู่ครบประเทศไทยไม่มีคำว่าเสียเปรียบหรือแพ้จะดำรงความเป็นอธิปไตย แม้แต่ตาเซนฯเดียวก็ยอมเสียให้กับประเทศใดๆ และจะไม่มีการโต้วาที แต่ต้องมาคุยกันว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เสีย หามาตรวัด ที่เป็นตัวกลาง ใช้เทคโนโลยีไรด้ามายอมรับร่วมกัน คำว่าไม่ยอมรับใครเดือดร้อนกว่าเพราะถ้าไม่ยอมจบก็เปิดด่านไม่ได้ ประเทศไทยขายของให้ปีละ 180,000 ล้านบาท และซื้อของเขาปีละ 30,000 ล้านบาท หากยอมก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าอย่างไรของก็ต้องขายต่อเมืองไทย หากจะยอมให้อ้อมประเทศลาวเข้าไทยอ้อมไปเวียดนามกว่าจะถึงกัมพูชาเท่ากับว่าเป็นการรังแกประชาชนของตัวเองที่ต้องซื้อของแพงมากขึ้น เราก็มีจุดยืนของเราในเรื่องนี้ก็ต้องคุยกัน เมื่อมีทหารของเราเหยียบกับระบบเราเราก็ระงับ joint decoration ทันที เพราะฉะนั้นหากเราจบกับเขาได้โดยไม่เสียประโยชน์อะไรก็เป็นสิ่งที่ควรจะทำ ทั้งนี้ การ จะรักษาความสมดุลได้ ความยืดหยุ่นถือว่ามีความสำคัญมากเราต้องพร้อมปรับแผนตลอดเวลาและดำเนินต่อไป
วันนี้เศรษฐกิจของเรากำลังเดินไปข้างหน้า ในเรื่องการค้าการลงทุนกำลังเผชิญ ปัญหาด้าน ขีดความสามารถ รวมถึงโครงสร้างประชากรที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ซึ่งเราก็ต้องปรับเรื่องการเกษียณอายุราชการ ที่ต้องทำเป็นขั้นบันได ให้เข้ารูปเข้ารอยไม่ต้องไปกังวล โดยรัฐบาลนี้มีเวลาแค่ 4 เดือนก็ต้องรู้ว่าตรงไหนที่สามารถเปลี่ยนได้และมีมติได้ภายใน 4 เดือนก็ต้องทำ เรามีรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายที่รู้เรื่องกฎหมายเป็นอย่างดี หากอยู่สี่เดือนก็สามารถทำได้แต่หากอยู่ไม่ถึงก็ทิ้งเอาไว้ให้คนอื่นทำต่อได้โดยไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆ
อย่างเรื่อง คนละครึ่งพลัส ที่คนวิจารณ์ว่า ว่าเป็นนโยบายสมัยลุงตู่ ตนก็ถามว่าทำไม เพราะลุงตู่ก็นายผม เมื่อทำมาแล้ว ก็ทำต่อ ตนไปลอกข้อสอบ และใส่คำว่าพลัสเข้าไป พร้อมระบุว่า ตั้งแต่เข้ามาการเมืองโดนด่าหมด ยกเว้นคนละครึ่งพลัส เดินไปไหนคนชมหมด ดังนั้นเราต้องเป็นคนหัวแข็งต้องยืดหยุ่น อะไรที่คิดแล้วเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ต้องทำไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ด้านเศรษฐกิจของไทยก็ต้องเดินหน้า ซึ่งตอนนี้มีความพร้อมแล้ว ทั้งด้านทรัพยากรพร้อม กฎระเบียบก็พร้อม และหากอยากให้พร้อมก็เลือกตนกลับมา เพราะตอนนี้ก็ปฏิรูปการศึกษาอยู่ปฏิรูปพลังงาน ให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ในส่วนของพลังงาน ถึงแม้ว่าจะทำไม่ได้ทั้งหมดแต่ทุกอย่างในเวลาจำกัดเราก็ปูทางเอาไว้ดังนั้นขอให้ประชาชนตัดสินใจเอาเองว่าคนไหนที่มีความตั้งใจที่จะทำสิ่งเหล่านี้และมีความกล้าหาญมากเพียงพอที่จะทำสิ่งเหล่านี้ ”
รัฐบาลนี้พูดคำว่า upskill และ reskill ตลอด เพื่อให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กขนาดย่อยและทุกระดับมีการยกระดับตัวเองและสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น และเศรษฐกิจเหล่านี้ก็จะเป็นโอกาสของ เพราะประเทศที่สามารถชนะในยุค ai ได้คือประเทศที่คนทางสังคมเรียนรู้และปรับตัวได้มากที่สุดซึ่งคือเป้าหมายในการสังคมของรัฐรัฐบาลชุดนี้
อย่างไรก็ตามในขณะที่กำลังรับมือกับการพัฒนาใหม่ใหม่ในเรื่องของการเพิ่มทักษะ ใหม่ใหม่ก็คือเรื่องการสร้างสังคมเพราะคนเกิดน้อยลงประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัวแล้วเพราะฉะนั้นจะต้องทำ
3 เรื่องสำคัญคือ 1.การขยายอายุเกษียณราชการให้สอดคล้องกับความสามารถ
2.การพัฒนาระบบสาธารณสุขที่สามารถรองรับการดูแลทั้งระยะยาวและผู้สูงอายุผู้ป่วยเรื้อรังและบริการเชิงป้องกัน ซึ่งการปรับตัวอย่างรุนแรงของระบบสาธารณสุขหากไม่ทำตายแน่นอนเพราะคนไม่ตายระบบจะตาย เพราะยาก็ดีค่ารักษาก็น้อยรวมไปถึงค่ารักษาฟรีเพราะฉะนั้นคุณไม่ตาย หากโรงพยาบาลเต็มก็เอาอยู่ที่บ้านและให้การดูแลอย่างเต็มที่เพราะฉะนั้นจึงมีความสุขอย่างมากในเรื่องการยืดอายุคน เพราะ 60 ปีเกษียณไม่ได้ ต้องทำให้ติดเตียงใกล้อายุ 80 ต้องยังทำมาหากินได้ ไม่ไม่เป็นภาระให้คนรุ่นหลัง จึงต้องทำให้เขาไม่ป่วยด้วยระบบสาธารณสุข ขอให้รู้ว่าถ้าป่วยถือรักษาได้
และสุดท้ายคือการยกระดับ ทักษะแรงงานสูงวัยวัย ซึ่งตนมองว่ามีโอกาสที่จะสามารถสร้างธุรกิจในการดูแลผู้สูงอายุของไทยและผู้สูงอายุที่มาจากต่างชาติ
“ส่วนเรื่องการเมือง ไม่ต้องไปฟัง เพราะไม่นานตนก็ยุบสภาแล้วจะคืนอำนาจให้กับประชาชน ตอนนี้ตัวเลือกไม่เยอะขอให้ดูว่า พรรคไหนที่มีการเมืองที่ดีแล้วต้องมี การปฏิบัติที่ดีด้วย และต้องดูด้วยว่ามีความรู้มากพอที่จะปฏิบัติและความกล้าพอที่จะทำหรือไม่มีความเก่งพอและบารมีที่จะแสวงหาความร่วมมือหรือไม่ซึ่งตนคิดว่าตนมีพอสมควร และเรื่องเหล่านี้ทุกคนต้องช่วยกันเพราะปีหน้าอย่างไรก็ต้องเลือกตั้งเพราะสภาพการเมืองที่ดำรงมาจนถึงจุดนี้ต้องยอมรับตรงตรงว่าไปต่อไม่ได้เพราะรัฐบาลเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่ต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจเพราะอภิปรายไปก็แพ้ และต้นก็ยังว่า 31 มกราคมจะยุบสภาแตกหักรอไม่ไหว จะให้ยกวันที่ 12 ธันวาคมตนก็พร้อมหยุด แต่หากมีอะไรที่ทำไว้แล้วไม่เสร็จหลายอย่างก็ต้องไปเบลม (ตำหนิ) คนนั้น มาว่าตนไม่ได้ ซึ่งตนมองว่าต่อให้อภิปรายดีหรืออภิปรายหวนหรือตอบโต้ดีแค่ไหนรัฐบาลก็แพ้เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะไม่มีทางวินวิน วันนี้ตนไม่ได้ให้วินวินกับทางการเมืองแต่อยากให้วินวินกับประชาชน
เพราะตนก็เชื่อว่าพรรคของตนมีนโยบายดีๆที่จะไปว่ากันในสนามเลือกตั้ง ของใกล้ชิดกับการเมืองและใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเพราะปีหน้าเป็นปีที่สำคัญหากตัดสินใจถูกประเทศไทยก็ก้าวกระโดด เร็วและรุนแรงเพราะตอนนี้เรากลับเข้ามาสู่เรด้าได้แล้ว ทุกประเทศให้ความสำคัญและให้ความสนใจ ขณะรู้ว่านายกคนนี้รู้แค่สี่เดือนยังให้เวลาพบ แต่เขาเชื่อว่าสิ่งที่เราทำไว้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อหวังรักฐาน ว่าไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาต้องยกรากฐานตัวนี้แล้วนำไปทำต่อเพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเมืองจะปากดีปากเสียอย่างไรตนเชื่อว่าส่วนลึกๆ ของทุกคนก็ต้องการทำประโยชน์ให้กับประเทศและพี่น้องประชาชนดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนยังต้องเคารพซึ่งกันและกันอยู่“
ในช่วงท้าย นสยอนุทินกล่าวว่า คำว่าปรับเปลี่ยนและไปต่อ เป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นกับคนทุกคน โดยเฉพาะคนที่มีหน้าที่ในการบริหารบ้านเมือง



















