หน้าแรกHighlight‘กัมพูชา’เปิดฉากยิงทหารไทย 2 จุดเช้านี้ ที่เนิน500ช่องบกและชายแดนบ้านโกมุย

‘กัมพูชา’เปิดฉากยิงทหารไทย 2 จุดเช้านี้ ที่เนิน500ช่องบกและชายแดนบ้านโกมุย

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

กองทัพภาคที่ 2 รายงานทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงทหารไทย 2 จุด ที่เนิน 500 ช่องบก จ.อุบลราชธานี และชายแดนบ้านโกมุย จ.ศรีสะเกษ ขณะที่โฆษกกองทัพบกชี้ ฝ่ายไทยมีสิทธิ์ตอบโต้ตามหลักสากล หลังปราสาทตาควายและปราสาทพระวิหารถูกฝ่ายกัมพูชานำมาใช้เป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร

เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 05.30 น. มีรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) เปิดเผยว่า ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงทหารไทยแล้ว 2 จุด คือ เนิน 500 ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี และชายแดนฝั่งบ้านโกมุย ทิศใต้ภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต

ขณะที่ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (โฆษก ทบ.) กล่าวถึงกรณีกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์กัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ประณามกองทัพไทย โจมตีในพื้นที่ปราสาทตาควาย และอ้างถึงการโจมตีของฝ่ายไทยสร้างความเสียหายแก่ปราสาทพระวิหาร ว่า ประเทศไทยยึดมั่นใน อนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1954 ว่ากรณีความขัดแย้งทางอาวุธ ซึ่งกำหนดให้โบราณสถาน ต้องได้รับการคุ้มครอง และห้ามการโจมตีหรือการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย ทั้งนี้ อนุสัญญา ฯ มีข้อยกเว้นที่ระบุไว้ชัดเจนหากมีการนำโบราณสถานไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร เช่น การตั้งฐานที่มั่น การควบคุมการปฏิบัติการ การเป็นจุดซุ่มยิง หรือใช้เป็นพื้นที่เตรียมการโจมตี พื้นที่ดังกล่าวอาจ สูญเสียความคุ้มครองในทางกฎหมายเป็นการชั่วคราว ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหาร

พล.ต.วินธัย กล่าวอีกว่า ดังนั้น เมื่อฝ่ายกัมพูชาตั้งใจใช้อาณาบริเวณโบราณสถานเป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร รวมถึงใช้เป็นที่ตั้งระบบตรวจการณ์ และที่ตั้งระบบอาวุธยิงเพื่อใช้โจมตีต่อฝ่ายไทย ทำให้พื้นที่ดังกล่าวจึงเข้าข่าย เป็นพื้นที่ที่สูญเสียความคุ้มครองชั่วคราว ตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1954 ซึ่งกรณีพื้นที่ปราสาทตาควาย และ พื้นที่ปราสาทพระวิหาร ถูกฝ่ายกัมพูชานำมาใช้ เพื่อการปฏิบัติการทางทหาร โดยใช้เป็นที่ตั้งระบบอาวุธยิง เป็นคลังเก็บกระสุนวัตถุระเบิด และทุ่นระเบิด  สำหรับใช้โจมตีทำร้ายฝ่ายไทย ซึ่งมีหลักฐานเป็นภาพปรากฏให้เห็นอยู่ตามสื่อโซเชี่ยลได้ทั่วไป จึงควรเป็นฝ่ายกัมพูชาเองที่เป็นฝ่ายที่ทำผิดกฎหมายมนุษยธรรม และทำผิดกติกาสากลเอง  ฃรวมถึงเป็นฝ่ายที่ไม่เห็นคุณค่าในมรดกทางวัฒนธรรม  

พล.ต.วินธัย กล่าวอีกว่า ฝ่ายไทยจึงมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะ ปกป้องภัยคุกคามเหล่านั้นได้ตามความเหมาะสมและได้สัดส่วน ตามหลักกติกาสากล เป็นไปตามความจำเป็นเนื่องจากจากฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้บีบบังคับ

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img