ชูวิทย์ เตือนพรรคประชาชนเลือกทางเสี่ยงผิดพลาดครั้งใหญ่ พยากรณ์ได้ ส.ส. ต่ำกว่า 100 และต้องเรียนรู้บทเรียนราคาแพงจากการเลือกตั้งครั้งหน้า
เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.68 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ ความผิดพลาดครั้งใหญ่ ผมเห็นข่าวคุณธนาธรให้สัมภาษณ์ในรายการของคุณสรยุทธ จึงอยากสื่อสารกับคุณธนาธรเพื่อความเข้าใจ ผมมีความบริสุทธิ์ใจที่จะส่งผ่านบทความนี้ให้ ส่วนจะเห็นด้วยหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่คุณธนาธร
อีก 50 กว่าวันคงรู้ผลการเลือกตั้งอย่างที่คุณธนาธรพูดเอาไว้ โดยคุณธนาธรเชื่อว่ารัฐธรรมนูญปี 60 เป็นต้นตอของปัญหาความแตกแยกในสังคม จึงตกลงกับ “ผู้ถือกุญแจ” คือพรรคภูมิใจไทยที่คุณธนาธรเชื่อว่า เป็นพรรคเดียวที่ไขกุญแจ ส.ว. ได้ แต่กลับไม่เอะใจเลยว่า ผู้ถือกุญแจเขาไม่ได้อยากเสียบกุญแจบิดให้
แม้รู้ว่า “เสี่ยง” แต่ต้องขอลอง ซ้ำยังเชื่ออีกว่า แม้พลาดจากการเสี่ยง ประชาชนจะให้โอกาสในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาชนจะได้คะแนนเสียงมากขึ้น
คุณธนาธรไม่ได้แสดง “วิสัยทัศน์“ ที่เข้าใจระบบการเมืองไทยดีพอ แต่ยังคงยึดมั่นถือมั่นกับการตัดสินใจด้วยมุมมองทางการเมืองใน ุดมคติของตัวเอง แม้พลาดกับพรรคภูมิใจไทยที่ควรทำให้เติบใหญ่ขึ้น แต่ท่าทีของคุณธนาธรยังไม่ได้ยอมรับในความผิดพลาด กลับทำเหมือนนักการเมืองทั่วไป ที่ต้องออกตัวขึงขังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากกว่าเก่าอีก
ผมมีความปรารถนาดีที่เตือนพรรคประชาชนตั้งแต่ต้นว่า นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่เลือกคุณอนุทิน เพียงแต่คุณธนาธรดื้อรั้นอยากลองเสี่ยงเอง ผลลัพธ์จึงเป็นอย่างที่ผมคาดไว้ทุกประการ
นอกจากแก้รัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ พรรคประชาชนยังได้รับผลเสียหายที่เกิดขึ้น แถมไปทำให้พรรคภูมิใจไทยมีแต้มต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า ด้วยการได้เป็นพรรครัฐบาล โยกย้ายข้าราชการ อนุมัติงบประมาณ ดูดบ้านเล็กบ้านใหญ่เข้าเต็มพรรค สร้างกระแสชาตินิยมเพื่อหวังกลับมาเป็นแกนนำรัฐบาลอีกครั้ง
และผมยังคาดต่อไปได้ว่า ”พรรคประชาชนจะต้องได้บทเรียนราคาแพงจากการเลือกตั้งครั้งหน้านี้ด้วย“ ดังนั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ผมจะพยากรณ์ไว้ว่า
“พรรคประชาชนจะได้จำนวน ส.ส. ต่ำกว่า 100” ด้วยการเดินหมากผิดพลาดจากผลลัพธ์ของความเสี่ยง ที่ผมเคยย้ำไปแต่แรกแล้วว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย“ พรรคประชาชนคิดจะแก้รัฐธรรมนูญด้วยการใช้ทางลัด แต่ความเป็นจริงคุณธนาธรย่อมต้องรู้ว่า ที่ผ่านมาการแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำให้นักการเมือง ส.ส. และ ส.ว. เห็นพ้องต้องกัน ไม่ใช่เรื่องที่พรรคประชาชนจะทำได้ด้วยตัวเองแล้วถือเอาเป็นผลงาน
หรือแม้แต่คิดจะใช้วิธีจับมือบังคับให้คนถือกุญแจไปแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ตัวเองต้องการได้ มันจึงเป็น “ความผิดพลาดครั้งใหญ่”ไม่ใช่ “การประนีประนอมครั้งใหญ่” เพราะการบังคับให้พรรคภูมิใจไทยทำตามใจตัวเอง แลกกับตำแหน่งนายกฯ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
ไม่ได้มีเจตนาบริสุทธิ์ในการกระทำแต่อย่างใด นี่ต่างหากคือ “หัวใจ“ ที่คุณธนาธรมองอย่างคนไม่เข้าใจ จึงส่งผลอย่างรุนแรงต่อพรรคประชาชน จากผลโพลล์ ยังมีคนไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคไหนอีกเป็นจำนวนมาก ผลการเลือกตั้งจะบอกคุณธนาธร และพลพรรคประชาชนเอง
เพราะแม้ว่าผมเป็นเพียงเสียงเดียวที่เคยเลือกพรรคก้าวไกล และออกมาวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของพรรคประชาชน แต่เชื่อว่า “กระแสได้เปลี่ยนทิศ” แล้ว การเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ว่า “กลยุทธ์การตลาด“ ของพรรคประชาชนจะเป็นอย่างไร
หากพรรคการเมืองคือสินค้าชนิดหนึ่งที่ให้ผู้บริโภคได้ทดลองใช้ดู เมื่อทดลองแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่โฆษณา จะให้ไปลองใหม่คงไม่มีแล้ว ตอนนี้พรรคประชาชนไม่ใช่ ”ของใหม่” อีกต่อไป จะให้ประชาชนไปลองเลือกใช้อีกทั้งๆ ที่เห็นอยู่ทนโท่ว่าที่ผ่านมาใช้ไม่ได้ ทำอะไรสำคัญๆ ผิดพลาดหมด
แม้แต่เรื่องที่ตัวเองคิดว่าสำคัญอย่างการแก้รัฐธรรมนูญยังพลาด จากการไปบังคับพรรคอย่างภูมิใจไทยให้ทำในสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวแม้แต่นิด ใครๆ ก็รู้ แต่พรรคประชาชนกลับไม่รู้ ซ้ำยังเมินเฉยต่อคำติติงของผู้ที่หวังดี ท้ายสุดเมื่อพลาดแล้ว ก็ยังทำท่าทีว่าตัวเองไม่ผิด แค่นี้ก็รู้แล้วว่า หากเลือกอีก
ประชาชนเรียกว่า “เสียของ“



















