“อภิสิทธิ์”ชี้เลือกตั้งปี69 ไม่ใช่แค่การชิงอำนาจ แต่คือบททดสอบว่าปชช.พร้อม “พลิกการเมือง” หรือยอมติดกับดักเดิมต่อไป เตือนการเมืองที่วนลูปเดิม ทำไทยเดินช้ากว่าเพื่อน ตั้งเป้าเพิ่มคะแนนบัญชีรายชื่อหลายเท่าตัว หวังจุดประกายการเปลี่ยนแปลง หากครั้งนี้ยังไม่เกิด “จุดเปลี่ยน” ทางการเมือง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงภาพรวมการเมืองในปี 2569 ว่า ประเทศไทยเริ่มต้นปีใหม่ท่ามกลางบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง เนื่องจากมีหลายพรรคการเมืองเข้ามามีบทบาท ทั้งพรรคที่ตั้งใจจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และพรรคที่อาจเข้ามาเป็นตัวแปรทางการเมือง ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีความเข้มข้นเป็นพิเศษ แต่ก็จะเป็นบททดสอบสำคัญของประเทศ ว่าประชาชนต้องการให้การเมืองเป็น “จุดเปลี่ยน” หรือไม่ เนื่องจากในการเลือกตั้งที่ผ่านมา รวมถึงบรรยากาศทางการเมืองตลอดหลายปี ความรู้สึกเชิงลบต่อพรรคการเมืองและนักการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจ และเมื่อสะสมยาวนาน ทำให้ประชาชนเริ่มตระหนักว่าทำไมประเทศไทยจึงพัฒนาได้ช้ากว่าหลายประเทศ
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงความจำเป็นในอนาคตว่า ประเทศต้องมีเศรษฐกิจที่ดีและเข้มแข็ง เพื่อสร้างรายได้เพียงพอสำหรับการดูแลผู้สูงอายุ และเสริมความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชนในมิติอื่น ๆ การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการพลิกการเมืองไปสู่ความสุจริต หรือจะยังคงอยู่ในสภาพที่พรรคการเมืองพูดถึงเพียงข้อตกลงระหว่างกัน โดยไม่ชัดเจนว่าประเทศจะเดินหน้าไปในทิศทางใด
“หากผลการเลือกตั้งออกมาแล้วเป็นแบบเดิมๆ เราก็จะอยู่ในสภาพการเมืองและเศรษฐกิจแบบที่เป็นอยู่ ในช่วง 2-3ปีที่ผ่านมา แต่ถ้ามันเปลี่ยนแปลงได้ ก็จะเป็นโอกาสให้ประเทศเราเปลี่ยนแปลง และเดินต่อไปได้“
เมื่อถามว่าขณะนี้พรรคการเมืองต่าง ๆ ยังวนอยู่กับพฤติกรรมเดิม ๆ โดยเฉพาะพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ยังมีการกวาดต้อน ส.ส. เข้ามาสังกัดพรรคของตนเอง มองว่าโอกาสที่การเมืองจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมมีหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องของนักการเมือง แต่ถือเป็นเรื่องที่น่าตั้งคำถาม โดยยกตัวอย่างผลสำรวจของนิด้าโพลในแต่ละไตรมาส ที่พบว่าเมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มประชาชนที่ตอบว่ายังไม่เลือกใคร หรือไม่มีใครให้เลือก กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังตั้งคำถามถึงบทบาทของ “ทุนทางการเมือง” ที่เข้ามาอย่างมหาศาล ว่าทุนเหล่านี้เข้ามาอย่างไร มีที่มาแบบใด และอยู่ภายใต้สีทางการเมืองแบบไหน หากปล่อยให้เงินเข้ามาซื้อทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศ รวมถึงการซื้ออำนาจ และการหลีกเลี่ยงการอยู่ภายใต้กฎหมาย จะส่งผลกระทบต่อระบบการเมืองและประเทศในระยะยาวอย่างไร
“ตอนนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญแล้วว่า เราจะปล่อยให้การเมืองเป็นแบบนี้ต่อไปหรือไม่ หรือเราจะเลือกอยู่กันแบบไหน และจะพาประเทศเดินไปในทิศทางใด”
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ตามที่คาดหวังหรือไม่เพราะขณะนี้สภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ประชาชนต้องห่วงปากท้องตนเอง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่ได้บอกว่าห้ามประชาชนรับเงินหากมีใครเอามาให้ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าจะเลือกทำไม ที่ผ่านมาหลายคนรู้สึกดีที่ได้รับโครงการประชานิยม เช่นโครงการคนละครึ่ง นั่นเพราะเขามีสิทธิ์ที่จะได้และพึงพอใจ แต่ไม่เหมือนกับการอยู่ดีๆมีคนมาขอซื้อสิ่งที่เป็นอำนาจของเราในการกำหนดอนาคตประเทศ ตรงนี้ไม่เหมือนกัน
“ ผมไม่ได้มองโลกสวย แต่มองตามความเป็นจริงว่า ถ้าเราอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ทุกคนเดือดร้อนหมด จะเหลือคนหยิบมือเดียวที่ยังเหลือความพึงพอใจสภาพแบบนี้ ผมยังไม่กล้าฟันธงหรอก ถึงบอกว่ามันเป็นบททดสอบ แต่เชื่อว่าวันหนึ่งมันจะต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าวันนี้ผมจับจากอารมณ์ของคน ก็มีความคิดที่จะท้าทายการเมืองแบบปัจจุบันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่จะเพียงพอหรือเปล่า เราจะได้คำตอบในวันเลือกตั้ง ”
เมื่อถามว่ามีการมองว่าเลือกตั้งครั้งก่อนประชาชนเบื่อหน่ายกลุ่ม 3 ป. ที่เข้ามามีอำนาจยาวนานจึงหันไปเลือกพรรคการเมืองใหม่ถล่มทลาย แต่ครั้งนี้พฤติกรรมจะยังเหมือนเดิมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าขณะนี้ประชาชนจำนวนมาก มีความไม่พอใจกับสิ่งที่เห็นอยู่แต่อาจจะยังไม่ชัดเจนว่า จะหาคำตอบให้กับเรื่องนี้อย่างไร
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนยืนยันชัดเจนตั้งแต่วันที่กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้งแล้วว่า ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของความผูกพันธ์ที่ตนมีอยู่กับพรรค แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องการให้เห็นว่าประเทศยังมีทางเลือกอยู่ หากครั้งนี้ยังไม่เกิดจุดเปลี่ยน ก็หวังว่าเราจะสามารถจุดประกายให้เห็นว่าประเทศยังมีทางเลือก ที่ไม่ใช้แค่เพียงการเมืองที่ทำข้อตกลงกัน จะMOU หรือMOA อะไรก็ตาม
ส่วนที่มองว่าคะแนนนิยมของพรรคที่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะความเชื่อมั่นในตัวนายอภิสิทธิ์คนเดียวหรือสิ่งที่พยายามนำเสนอ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่อยากให้มองไปที่ตน หรือตัวบุคคล แต่หากเป็นเพราะที่ตัวตน ก็ต้องยอมรับว่ามีทั้งคนชอบและไม่ชอบหรือเห็นด้วย กับไม่เห็นด้วยในนโยบายที่นำเสนอ แต่ตนได้พิสูจน์แล้วคือความชัดเจนตรงไปตรงมา โดยประกาศว่ามีความคิดการเมืองเป็นแบบนี้ แต่เมื่อมันไม่เป็นตามที่ต้องการตนก็สละทุกตำแหน่งทางการเมือง เพื่อยืนหยัดทางความคิดนั้น ซึ่งน่าจะเป็นจุดหนึ่ง ที่คนที่มองหานักการเมืองที่วันหนึ่งพูดอย่างนี้แต่อีกวันทำเพื่อประโยชน์เฉพาะหน้า หรือจะบอกว่าทดลองหรืออะไรก็ตามแล้วไปทำข้อตกลง มันได้เห็นความแตกต่างตรงนี้อยู่
เมื่อถามถึงจุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์มีอะไรบ้างที่จำเป็นต้องอุดในการเลือกตั้งที่จะมาถึง นายอภิสิทธิ์ยอมรับว่าพรรคที่อยู่มานานย่อมมีทั้งความสำเสร็จและล้มเหลว มีทั้งสิ่งที่คนชอบและไม่ชอบ และเมื่อเราตัดสินใจเดินในแนวทางที่ต้องเอาคนใหม่ๆเข้ามา แต่ประสบการณ์ทางการเมืองก็อาจจะน้อยลงไป จึงถือเป็นจุดแข็งและจุดอ่อนก็ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เมื่อทุกอย่างใหม่และมาเจอกรอบเวลาที่สั้น ทำให้เราต้องเร่งดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดของคนที่มีอยู่ หากมีเวลามากกว่านี้เราคงสามารถพูดได้มั่นใจว่า จะสามารถผลักดันอะไรต่างๆได้
เมื่อถามว่า มีการตั้งเป้าหรือไม่ว่าจะได้จำนวนที่นั่งเท่าไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนนี้สิ่งที่ตนพูดได้อย่างเดียวคือ ต้องทำให้สส.บัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้นให้มากกว่าเดิมหลายเท่า หากเป็นไปตามผลสำรวจโพลต่างๆที่ผ่านมา ดูเหมือนเราจะมาถูกทางอยู่ แต่ก็ยังต้องทำงานหนัก เพื่อรักษาคะแนนของเดิมและต้องขยายเพิ่มขึ้นด้วย โดยในอดีตเราเคยได้ประมาณ 11 ล้านเสียง ก็คงยากที่จะกลับไปแบบนั้นในระยะเวลาแบบนี้ ซึ่งเลือกตั้งครั้งล่าสุดเราได้เพียง 9 แสนคะแนน ที่ตนใช้ว่าคำว่า“หลายเท่าตัว ” คือต้องทำให้ได้หลายล้านคะแนนเสียง
เมื่อถามว่าในสนามเลือกตั้งภาคใต้คาดหวังได้คะแนนเสียงหลายล้านเสียงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่กล้าที่จะเจาะจงขนาดนั้น แต่จากที่ได้ลงไปพื้นที่ภาคใต้หลายครั้ง จากการไปช่วยประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่และพื้นที่อื่นๆ ได้รับการตอบรับที่ดีมาก และมีคนที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ กว่า 50-60 เปอร์เซ็นต์ ดูเหมือนจะเริ่มจะทยอยกลับมาและพูดชัดว่าจะกลับมาให้การสนับสนุนอีกครั้ง
ส่วนสนามกรุงเทพฯนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เบื้องต้นจากที่เห็นผู้สมัครรุ่นใหม่ที่เข้ามา ตนค่อนข้างดีใจที่มีคนเก่งๆและมีมุมมองในการแก้ปัญหาอาสาตัวเข้ามา อาจจะมีข้อเสียเปรียบคือไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง แต่แนวทางที่พรรคทำโดยการเชิญชวนให้คนดีเข้ามา ทำให้สบายใจว่าอย่างน้อยก็มีความชัดเจน แต่จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับคนกทม. แต่เที่ยวนี้ตนมองว่ามีความเปลี่ยนแปลงในภาพของคนที่มองทั้งผู้สมัครและพรรค โดยเราจะพยายามเต็มที่ที่จะดึงฐานเสียงเดิมกลับมา รวมถึงพื้นที่ภาคใต้ด้วย ที่แม้จะได้รับเสียงตอบรับดี แต่หากประชาชนมีความคิดเลือกใช้เกณฑ์ในการเลือกบัญชีรายชื่อและสส.คนละแบบก็อาจจะยังเหนื่อยอยู่ แต่จะพยายามทำให้เห็นว่าที่สุดแล้วไปแยกแบบนั้นไม่ได้
“จะมองว่าเลือกปาร์ตีลิสต์เป็นการเลือกรัฐบาล ส่วนสส.เขตเป็นการเลือกนายกฯ นั้นไม่ได้ ตรงกันข้ามใครจะได้เป็นรัฐบาลหรือนายกฯมันอยู่ที่สส.เขตว่าโดยรวมได้เท่าไร เพราะมีมากกว่าจำนวนสส.ปาร์ตี้ลิสต์ 4 เท่า หากทำให้ประชาชนเข้าใจแบบนี้ได้ ผมคิดว่าคะแนนเสียงที่เราได้รับจากคะแนนพรรค ก็จะช่วยการเลือกตั้งเขตได้ ยืนยันว่าประชาธิปัตย์ต้องการตอบโจทย์ให้คนทุกภาค แม้ที่ผ่านมาพื้นที่อีสานเราไม่ได้เข้มแข็งนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ให้ความสนใจ แต่เท่าที่ผมประเมินทั้งหมดแล้วเราน่าจะได้คะแนนบัญชีรายชื่อมากกว่า เพราะเชื่อว่าครั้งนี้การแข่งขันแบบเขตจะมีความรุนแรงอย่างมาก”
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงนโยบายที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียงว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องมีนโยบายแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเช่นกัน แต่เป้าหมายสำคัญคือการเสนอแนวทางที่สามารถ “เปลี่ยนหรือพลิก” ประเทศให้เดินหน้าได้จริง ไม่ใช่เพียงรอคอยนโยบายที่หวือหวาในทุก ๆ รอบการเลือกตั้ง
“ผมไม่กล้าไปตอบว่านโยบายจะว้าวหรือไม่ว้าว แต่ถ้าเรามองแต่นโยบายที่หวือหวา ผมไม่เชื่อว่าจะตอบโจทย์ประเทศได้ และอีก 4 ปีเราก็จะกลับมารอนโยบายลักษณะเดิมอีกครั้ง สิ่งที่เรานำเสนอจะสู้พรรคอื่นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน เราคิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด และพยายามสื่อสารให้ดีที่สุด” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถูกถามว่านโยบายหาเสียงครั้งนี้จำเป็นต้องมีนโยบายประชานิยมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า นโยบายที่ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ยังมีความจำเป็น โดยยกตัวอย่างโครงการ “คนละครึ่ง” ที่ช่วยบรรเทาความลำบากของประชาชนได้จริงในช่วงวิกฤต แต่ไม่สามารถหวังพึ่งได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว เพราะทุกครั้งที่ดำเนินการล้วนเป็นภาระงบประมาณของรัฐ และหากไม่มีการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจด้านอื่น ภาครัฐย่อมหมดกำลังในที่สุด
ทั้งนี้ยืนยันว่า การเสนอนโยบายในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะพยายามสร้างสมดุลระหว่างการช่วยเหลือเฉพาะหน้า กับการวางรากฐานระยะยาว เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน ไม่ติดอยู่ในวงจรเดิมของนโยบายระยะสั้นเพียงอย่างเดียว



















