“โฆษกจอม” ตัดเกรด รบ.อนุทิน “ไม่ผ่าน” ซัด “สร้างภาพ กลบความล้มเหลว” การทูตไร้ทิศทาง – ชี้ MOU แร่หายาก ปิดลับต่อประชาชน สั่นคลอนความน่าเชื่อถือประเทศ – ผลประชุมเอเปคเป็นเพียง “มรดกจากรัฐบาลเพื่อไทย” เล่ายิบ ประชุมวางแผนการทำงาน ก่อนเปลี่ยนอำนาจรัฐฯ
เมื่อวันที่ 4 พ.ย.68 เวลา 10.30 น.ที่พรรคเพื่อไทย นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ขอตั้งคำถามถึงรัฐบาลใน 2 ประเด็น การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) ด้านแร่หายาก (Rare Earth) และผลงานที่รัฐบาลอ้างจากการประชุมเอเปค ซึ่งทั้งหมดสะท้อนการขาดวิสัยทัศน์ทางการต่างประเทศและความไม่โปร่งใสในการบริหารประเทศ พรรคเพื่อไทยเห็นว่าการสำรวจและพัฒนาแหล่งแร่หายากเป็นเรื่องดี เพราะสามารถนำพาไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำกลับขาดทั้งความโปร่งใส และการวางยุทธศาสตร์รอบด้าน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและผลประโยชน์ของชาติ พรรคมองว่า การสำรวจ ศึกษา และพัฒนาแหล่งแร่หายาก (Rare Earth) ควรเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การลงทุนระยะยาว เพื่อวางรากฐานของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาด แต่ในขณะเดียวกันต้องควบคู่กับการวางแผนป้องกันผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตาม วิธีดำเนินการของรัฐบาลกลับสร้างผลกระทบในสองด้านหลัก ได้แก่ 1.ความโปร่งใสต่อประชาชนและการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และ 2.ความน่าเชื่อถือของประเทศและจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ในสายตานานาชาติ
นายศึกษิษฏ์ กล่าวอีกว่า ปกติเอกสารที่เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะถูกส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อเวียนขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหลัง ครม. มีมติรับทราบหรือเห็นชอบแล้ว เอกสารดังกล่าวจะถูกปลดชั้นความลับและเผยแพร่ในเว็บไซต์ ยกเว้นกรณีที่มีคำสั่งให้เก็บเป็นความลับ แต่ครั้งนี้ ประชาชนกลับมาทราบเรื่องพร้อมกับฝ่ายสหรัฐฯ ที่เป็นผู้เปิดเผยเอกสาร ขณะที่รัฐบาลไทยกลับไม่มีคำชี้แจงใด ๆ ประชาชนไม่มีโอกาสถกเถียงข้อดีข้อเสีย หรือผลกระทบของข้อตกลงเลย ตนพยายามค้นหาข้อมูลจากช่องทางทางการแต่ไม่พบเอกสาร MoU ดังกล่าว และไม่สามารถทราบได้ว่าหน่วยงานใดให้ข้อสังเกตหรือจัดทำแผนป้องกันผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมไว้หรือไม่ พร้อมตั้งคำถามว่าถ้าเอกสารที่ลงนามกับมหาอำนาจยังปิดเป็นความลับต่อประชาชน แล้วจะมีอะไรอีกที่รัฐบาลทำแบบลับ ๆ ล่อ ๆ โดยไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ
“รัฐบาลไม่ได้สานต่อการแก้ปัญหาการปนเปื้อนจากเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่รัฐบาลเพื่อไทยเคยเจรจาจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และได้อนุมัติแนวทาง “ฝายดักตะกอน” เพื่อควบคุมการปนเปื้อนในลำน้ำชายแดนไว้แล้ว รัฐบาลชุดนี้กลับปล่อยปละละเลย ทั้งที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยตรง การที่รัฐบาลออกมาระบุว่าสามารถ ยกเลิก MoU ได้ทุกเมื่อ เป็นการส่งสัญญาณลบต่อสายตานานาชาติ เพราะสะท้อนถึงความไม่มั่นคงทางนโยบาย คือการบอกโลกหรือไม่ว่า ประเทศไทยไม่มีจุดยืน หรือเราเลือกข้างในภูมิรัฐศาสตร์นี้ไปแล้ว ความไม่ชัดเจนและการสื่อสารไม่ตรงกันระหว่างรัฐบาลกับเนื้อหาใน MoU อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม EV และพลังงานสะอาด ซึ่งต้องอาศัยเสถียรภาพทางนโยบายในระยะยาว สุดท้ายแทนที่ประเทศและประชาชนจะได้ประโยชน์ กลับเสียทั้งความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและชื่อเสียงของประเทศ” นายศึกษิษฏ์กล่าว
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า การประชุมเอเปค รัฐบาลพยายามแสดงผลงานเกินจริง ทั้งในเรื่องการดึงดูดการลงทุน การเพิ่มโควต้าขายข้าวให้จีน การเป็นเจ้าภาพประชุม World Bank-IMF Annual Meetings และการอ้างว่า “ประเทศไทยกลับมาสู่เรดาร์ของโลก ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเดินตามรอยรัฐบาลเพื่อไทย ไม่ใช่ความสำเร็จของรัฐบาลชุดนี้ การดึงดูดการลงทุนเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลเพื่อไทยตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน ต่อเนื่องถึงนางแพทองธาร ชินวัตร ส่งผลให้ไทยมีมูลค่าการลงทุนสูงสุดในประวัติศาสตร์ ปี 2568 มียอดลงทุนกว่า 795,000 ล้านบาท และปีปัจจุบันมียอดคำขอเกิน 1.14 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมใหม่และเชื่อมโยง SMEs เข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน ขณะเดียวกัน โควต้าขายข้าวให้จีน 500,000 ตัน ก็เป็นผลจากการเจรจาที่ดำเนินต่อเนื่องมาจากสมัยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
นายศึกษิษฏ์ กล่าวว่า การเป็นเจ้าภาพประชุม World Bank–IMF Annual Meetings เป็นผลจากการหารือของทีมที่ปรึกษาที่บ้านพิษณุโลกในรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งวางแผนยกระดับโลจิสติกส์ควบคู่กับการลงทุนในรถไฟรางคู่และนโยบาย “20 บาทตลอดสาย” เพื่อดึงประชาชนเข้าสู่ระบบขนส่งสาธารณะ ถ้ารัฐบาลนี้บอกว่ามีมืออาชีพมาบริหาร ทำไมไม่มีอะไรเสนอเป็นของตัวเองเลย? ใช้งบประมาณไปเท่าไร แต่กลับไม่ได้อะไรกลับมา ผลจากการประชุมเอเปคครั้งนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการกลับมาพร้อม MoU แร่หายากที่เต็มไปด้วยข้อสงสัย และการพูดจาผูกมัดเรื่อง Entertainment Complex แทนที่จะมุ่งเน้นความร่วมมือในการปราบปรามทุนสีเทา หรือเร่งเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานขนส่งระหว่างประเทศ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า วิสัยทัศน์ของผู้นำในการเจรจาและกำหนดจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังห่างไกลจากคำว่าผ่าน หรือ สมบูรณ์แบบ อย่างมาก











