“ณัฐวุฒิ” พร้อมสอง สส.ร้อยเอ็ด ตระกูลสินธุไพร ลงพื้นที่พบประชาชนนับหมื่นใน อ.พนมไพร–อาจสามารถ–ศรีสมเด็จ ฟาดรัฐบาล “ระบบกินรวบ–ประชาธิปไตยถอยหลัง” พร้อมยืนยันเพื่อไทยเดินหน้ายื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ด้านสองพี่น้องจิราพร–ชญาภา โต้ข่าวย้ายพรรค ลั่น “ไม่มีวันทรยศอุดมการณ์ ไม่ทิ้งประชาชน”
เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วย น.ส.จิราพร สินธุไพร และ น.ส.ชญาภา สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ อ.พนมไพร อ.อาจสามารถ และ อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด โดยมีพี่น้องประชาชนหลายหมื่นคนร่วมฟังการปราศรัย ณ โรงเรียนพนมไพรวิทยาคาร อ.พนมไพร
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนและนายนิสิต สินธุไพร อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด บิดาของทั้งสอง ส.ส. รู้สึกภูมิใจที่เคยร่วมงานกับพรรคไทยรักไทย ซึ่งขับเคลื่อนนโยบายยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งทำงานเพื่อให้ “คนไทยหายจน” แต่วันนี้ผู้ก่อตั้งกลับต้องถูกควบคุมตัวในเรือนจำ

เขากล่าวต่อว่า สถานการณ์การเมืองไทยวันนี้ประชาธิปไตยกำลังถอยหลัง พรรคเพื่อไทยจึงจำเป็นต้องยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอย่างแน่นอน และหากรัฐบาลเลือกยุบสภาเพื่อหลีกเลี่ยงการซักฟอก จาก “นายกฯ ชื่อหนู” ก็อาจกลายเป็น “นายกฯ หนี” ที่ต้องตอบประชาชนให้ได้ว่าทำไมยุบสภาหนีแล้วกลับมาขอเลือกตั้งใหม่
นายณัฐวุฒิยังวิจารณ์ว่า บางพรรคขอให้เพื่อไทยอย่ายื่นญัตติซักฟอกเพราะเกรงว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะล่ม ทั้งที่เป็นพรรคที่ไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญตั้งแต่แรก พร้อมเตือนว่าหากปล่อยให้บ้านเมืองเดินหน้าเช่นนี้ จะเป็นภัยต่อประชาธิปไตยเพราะกำลังเกิด “ระบบกินรวบ” โดยรัฐบาลสีน้ำเงิน ซึ่ง ส.ว. ก็เป็นสีน้ำเงิน และยังมีอำนาจแต่งตั้งองค์กรอิสระ หากทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และองค์กรอิสระเป็นพวกเดียวกัน ประชาชนจะเหลืออำนาจอยู่ตรงไหน หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ประชาชนต่อสู้มากว่า 20 ปีจะสูญเปล่า เพราะการรัฐประหารทั้งสองครั้งที่ผ่านมาได้สร้างความอยุติธรรมและมาตรฐานสองชั้น ซึ่งทำให้ฝ่ายหนึ่งถูกมองว่าผิดเสมอ ขณะที่อีกฝ่ายไม่ว่าทำอะไรกลับไม่ผิด ทั้งหมดก็เพื่อผลักดันพรรคการเมืองที่พวกเขาหนุนหลังให้ชนะเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริง ฝ่ายประชาธิปไตยยังคงชนะใจประชาชนผ่านการเลือกตั้ง

สำหรับคำถามที่ว่าพรรคเพื่อไทย “ยังไหวหรือไม่” นายณัฐวุฒิยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยยังเดินหน้าได้อย่างมั่นคง เพราะหลังพิงเดียวของพรรคคือประชาชน พร้อมระบุว่ามีความพยายามไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาจากเรือนจำในช่วงเลือกตั้ง แต่ชาวร้อยเอ็ดประกาศชัดว่าจะสนับสนุนพรรคที่สืบทอดเจตนารมณ์ของทักษิณ
ด้าน น.ส.จิราพร กล่าวว่า หลังเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล เธอได้มีโอกาสร่วมผลักดันนโยบายเพื่อประชาชนหลายด้าน แต่กังวลว่า หากไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาล นโยบายดีๆ อาจถูกล้มเลิกเหมือนหลายครั้งในอดีตที่เกิดรัฐประหาร พร้อมยืนยันว่า “ครอบครัวสินธุไพรไม่มีวันทรยศประชาชน” แม้นายนิสิต สินธุไพร บิดา ต้องถูกจำคุกและถูกกดดันทางการเมืองเพียงใด ครอบครัวก็ยังยืนหยัดเคียงข้างประชาชนและพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ น.ส.ชญาภา กล่าวถึงกระแสข่าวลือว่าตนและน.ส.จิราพรจะย้ายไปสังกัดพรรคสีน้ำเงินว่า “ไม่เป็นความจริง” พร้อมย้ำว่า ทั้งสองขอทำงานรับใช้ประชาชนกับพรรคเพื่อไทยต่อไป และแม้พรรคจะอยู่ในสถานะฝ่ายค้าน ก็ยังทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่ ไม่ยกมือสนับสนุนรัฐบาลแบบ “ฝ่ายค้ำ” เหมือนบางพรรค



















