การเมืองไทยช่วงนี้สวนทางกับสภาพอากาศบ้านเรา ในขณะที่หลายคนกำลังใจตุ้มๆ ต้อมๆ ลุ้นว่าเมืองหลวงประเทศไทย และอีกหลายจังหวัดใหญ่ จะต้อง เผชิญกับภัยธรรมชาติ เหมือนปี 2554หรือไม่
ส่วนใครที่ตามความเป็นไปของประเทศ ด้านการเมือง-การปกครอง ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ในขณะนี้ เข้าขั้นร้อนพอสมควร ถึงขั้นต้องลุ้นจะมีการเปลี่ยนแปลง ถึงระดับคนไทยต้องมีรัฐบาลใหม่ สรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อมาทำหน้าที่แทน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หรือไม่ อันเนื่องมาจากข้อกฎหมาย เกี่ยวกับการตีความการดำรงตำแหน่งนายกฯครบ 8 ปี ซึ่งเรื่องอยู่ในการวินิจฉัยโดย ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.)
แต่ที่กลายเป็นประเด็น และอาจจะมีคำตอบในเรื่องนี้ หลังศาลรธน. เรียกประชุมนัดพิเศษ ในวันพฤหัสที่ 8 ก.ย.นี้ เพื่อพิจารณาคดี “8 ปี นายกฯ” ของ “พล.อ.ประยุทธ์” ทั้งที่ไม่มีการนัดประชุมมาก่อน มีเพียงการนัดประชุมในวันที่ 14 ก.ย.นี้ เพื่อลงมติวินิจฉัยกรณีความสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรีของ “นิพนธ์ บุญญามณี” รมช.มหาดไทย
ทั้งนี้มีรายงานว่า “วรวิทย์ กังศศิเทียม” ประธานศาลรธน. แจ้งว่า ได้รับคำชี้แจงของพยาน 3 ปาก คดี 8 ปีของนายกฯเรียบร้อยแล้ว คือคำชี้แจงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง, มีชัย ฤชุพันธ์ประธานคณะกรรมการร่างรธน. และ ปกรณ์ นิลประพันธ์เลขานุการคณะกรรมการร่างรธน. จึงนัดประชุมพิเศษวันดังกล่าวขึ้น
เพื่อที่จะอภิปรายคำชี้แจงและหลักฐานต่างๆ ว่า สิ้นข้อสงสัยเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้แล้วหรือยัง หากยังไม่สิ้นข้อสงสัย ต้องแสวงหาหลักฐานและพยานเพิ่มเติมต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้หากสิ้นข้อสงสัย ก็จะนัดวินิจฉัย
ก่อนหน้านี้ทีมกฎหมายของ “พล.อ.ประยุทธ์” นำโดย “พล.ต.วิระ โรจนวาศ” ที่ปรึกษานายกฯ ในฐานะผู้รับผิดชอบจัดทำคำชี้แจงต่อศาลรธน. ได้ส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรธน.และศาลได้รับเอกสารดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยเป็นเอกสารที่มีเนื้อหาสาระเหตุผล ประกอบคำร้องรวมกว่า 30 แผ่น เนื้อหาที่ยื่นชี้แจงไปนั้นระบุว่า การนับวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ไม่ควรนับตั้งแต่ปี 2557
ขณะที่ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ออกมาให้ความเห็นถึงกรณีทีมกฎหมายพล.อ.ประยุทธ์ ส่งคำชี้แจงต่อศาลรธน. กรณีคำร้องให้วินิจฉัยระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปีว่า ยื่นไปเมื่อวันที่ 1 ก.ย.โดยศาลให้เวลา 15 วัน แต่ฝ่ายกฎหมายนายกฯ ใช้เวลา 7 วัน ได้เห็นเนื้อหาในคำชี้แจงแล้ว เขากล่าวหาว่าอะไร ทางนี้ก็แก้ไปทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากเห็นเนื้อหาคำชี้แจงแล้ว ฟังขึ้นหรือไม่ นายวิษณุตอบว่า คิดว่าฟังขึ้น ตอบไปทุกประเด็นและตรงกับใจ และคิดว่าถ้าเปิดเผยออกมาคนที่เห็นจะรู้ว่าชี้แจงขึ้น ต่อข้อถามที่ว่า คำชี้แจงได้ระบุหรือไม่ว่า การนับอายุ 8 ปีควรเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ นายวิษณุระบุว่า ไม่ชี้ชัด การชี้ชัดเป็นเรื่องของศาล แต่ชี้ชัดอย่างเดียวว่า ไม่ใช่วันที่ 24 ส.ค.2557 แต่บอกไม่ถูก จะนับเมื่อไหร่
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่หลายคนคาดเดากันไปว่า วันที่ 8 ก.ย. ที่ศาลรธน.เรียกประชุมพิเศษ เพื่อพิจารณาเพื่อพิจารณาคดี “8 ปี นายกฯ” ของพล.อ.ประยุทธ์ หลังจากมีการอภิปรายคำชี้แจงและหลักฐานต่างๆ ว่า สิ้นข้อสงสัยเพียงพอ ที่จะวินิจฉัยได้แล้วหรือยัง หากยังไม่สิ้นข้อสงสัยต้องแสวงหาหลักฐานและพยานเพิ่มเติมต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้หากสิ้นข้อสงสัย ก็จะนัดวินิจฉัย อาจจะมีการลงมติในวันนั้นเลย หรือ นัดลงมติวันใดวันหนึ่ง
ต้องยอมรับ บทสรุปของการวินิจฉัยของศาลรธน. จะมีผลต่อทิศทางการเมืองบ้านเรา ถ้าศาลรธน.ให้นับตั้งแต่ปี 2557 นั่นหมายความว่ารัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องสิ้นสภาพลง สรรหารัฐบาลกันใหม่ ซึ่ง คนใกล้ชิด “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อาจหวังลึกๆ ให้ “พี่ใหญ่แห่ง 3 ป.” มีโอกาสทำหน้าที่ “นายกฯตัวจริง” ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ เพื่อวางฐานอำนาจไปถึงรัฐบาลหน้า ซึ่งใครก็ทราบว่า “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องชายพล.อ.ประวิตร มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ “คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์” อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของ “พรรคเพื่อไทย” (พท.) ตัวจริง
ยิ่งที่ผ่านมา มักมีข่าวลือเป็นระยะว่า มีดีลลับทางการเมืองระหว่าง “คนใกล้ชิดบิ๊กป้อม” กับ “กลุ่มอำนาจเก่า” ถึงขั้นหากต้องโหวตเสียงในสภาฯ เพื่อสรรหานายกฯ พรรคพท.อาจออกเสียงสนับสนุนให้ “พล.อ.ประวิตร” ทำหน้าที่นายกฯคนนอก แลกกับการเป็น หนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้งในอนาคต
แต่ถ้าผลการวินิจฉัยของศาลรธน. เป็นคุณต่อหัวหน้ารัฐบาล ไม่ว่าจะนับปี 2560 หรือ 2562 สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ คงหนีไม้พ้นการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลัง “นิพนธ์ บุญญามณี” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ประกาศลาออกจากตำแหน่ง “รมช.มหาดไทย”
เพื่อไปต่อสู้คดีไม่เบิกจ่ายเงิน ค่ารถอเนกประสงค์ซ่อมบำรุงทาง 2 คัน วงเงินรวม 50 ล้านบาท ให้แก่บริษัท พลวิศว์เทค พลัส จำกัด เมื่อปี 2556 สมัย ดำรงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช ) มีมติชี้มูลความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 157 และเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
แม้ “พล.อ.ประวิตร” จะออกมาให้ความเห็นถึงกรณีนายนิพนธ์ ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรีรักษาการ ไม่สามารถปรับครม.ได้ หากนายกฯอยู่ต่อ นายกฯก็จะมาทำเอง ส่วนของพรรคพปชร. จะไม่มีการปรับ
แต่เมื่อย้อนไปดูวิบากกรรมของรัฐมนตรีบางคน และ เก้าอี้ที่ว่างอยู่ 2 เก้าอี้ ทั้ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ และรมช.แรงงาน หลัง “นายกฯลุงตู่” ออกคำสั่งปลด “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” และ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” พ้นจากครม. เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2564 ทำให้มีตำแหน่งว่างถึง 4 เก้าอี้ ซึ่งรวมถึง “กนกวรรณ วิลาวัลย์” รมช.ศึกษาธิการ ซึ่งศาลฎีกาจะพิจารณารับฟ้อง คดี ป.ป.ช.ฟ้องรมช.ศึกษาธิการ ในคดีบุกรุกป่าเขาใหญ่ ผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ และต้องสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่ามีคำพิพากษา
โดยกำหนดให้ยื่นคำคัดค้านภายใน 14 วัน นัดพิจารณาคดี 5 ต.ค. 65 ซึ่งต้องรอดูการตัดสินใจของ “กนกวรรณ” จะวางจุดยืนไว้อย่างไร ยอมลาออกจากตำแหน่งก่อน ถึงวันที่ศาลฎีกาจะมีคำวินิจฉัยหรือไม่ แม้รัฐบาลจะเหลือเวลาในการทำงานอีกไม่ถึงปี แต่ในส่วนของ พรรคร่วมรัฐบาล คงไม่ยอมให้ตำแห่งรัฐมนตรีที่เป็นโควต้าของตัวเอง ต้องว่างลงแน่ๆ เนื่องจากะมีผลทางการเมือง ทั้งเรื่องอำนาจหน้าที่และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง
โดยเฉพาะความเห็น “ชินวรณ์ บุณยเกียรติ” ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคปชป. และ รองประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป ) สภาผู้แทนราษฎร ที่ออกมาให้ความเห็นกรณี “นิพนธ์ลาออกจากตำแหน่งรมช.มหาดไทย” ว่า จริงๆ แล้ว ทุกตำแหน่งมีความสำคัญ ที่ต้องมามีส่วน ในการบริหารราชการแผ่นดิน และประการที่สองเข้าใจว่า คนที่ยังไม่เคยเป็นรัฐมนตรี ก็อยากจะเป็นรัฐมนตรี เพื่อจะมีโอกาสในการทำงาน แต่เข้าใจว่า ปัจจุบันเป็นเงื่อนไขพิเศษ ทางผู้มีอำนาจและผู้บริหารพรรคจะต้องพูดคุยกัน
จากนี้ไปผลการวินิจฉัยของศาลรธน. ต่อกรณีการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นคำตอบว่า การเมืองบ้านเราจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้า “นายกฯลุงตู่” ได้ไปต่อ กระบวนการปรับครม.ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ นอกจาก 4 ตำแหน่งที่ว่างลง อาจโยก “บิ๊กป้อม” ไปคุม กระทรวงมหาดไทย ในฐานะเจ้าของรหัส “มท.1” ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจะมีการเลือกตั้ง เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในทางการเมือง ในฐานะ “หัวหน้าพรรคพปชร.” ตามที่มีข่าวเป็นระยะๆ
แม้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี จะวางกำหนดการในการเดินทางไปตรวจเยี่ยมราชการในต่างจังหวัด แต่ก็สอดรับภารกิจในฐานะ “มท.1” ซึ่งยึดมั่นยึดตามสโลแกน “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข”
แต่ถ้าหาก “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่ได้ไปต่อ อำนาจต่อรองทั้งหมดน่าจะอยู่ที่ “พล.อ.ประวิตร” ทั้งแรงสนับสนุนของสภาสูง สามารถต่อสายไปถึงแกนนำพรรคฝ่ายค้านได้ ไม่ว่า “3 ป.” จะแยกบทกันเล่น หรือ “ต่างคนต่างเดิน” แต่ก็ยังมีบทบาททางการเมืองอยู่
เพราะคนที่อยู่บนหลังเสือ ก็ยากที่จะลงจากหลังเสือได้ ยิ่งอำนาจเป็นสิ่งหอมหวล
…………..
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย.. “แมวสีขาว”