เมื่อโลกเปลี่ยน เข้ามาสู่โลกยุคดิจทัล!! การปรับตัวให้รับกับโลกยุคใหม่ ถือเป็นภาระกิจที่มนุษยชาติ ก็ต้องปรับตัวรองรับให้ทัน!!
แต่การปรับตัว…ใช่ว่า จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ ที่สามารถฝ่าฟันดั้นด้นให้ถึงจุดหมายได้ด้วยตัวคนเดียว ซึ่งความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ ซึ่งกันและกัน ถือเป็นแรงผลักดันให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเดินหน้าต่อไปได้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้เครื่องไม้เครื่องมือตามปกติ หรือเครื่องไม้เครื่องมือด้านเทคโนโลยี ที่ต้องยอมรับว่า ก้าวหน้าก้าวไกล แบบสุดเอื้อมกันทีเดียว
ถ้าการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ก็ไม่มีปัญหา แต่หากการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อหลบเลี่ยง เพื่อหลีกหนี ในสิ่งที่ถูกต้อง ก็ถือว่าไม่เป็นผลดี โดยเฉพาะ การหลีกเลี่ยงภาษี!!
ที่ต้องยอมรับว่า ไม่เกิดผลดีกับประเทศชาติแน่นอน เพราะทุกวันนี้ “กระแสหลอกลวง-กระแสฟอกเงิน-กระแสฉ้อโกง” มีให้เห็นอย่างหนาหูหนาตา ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญปัญหาขวากหนามอีกสารพัด
การจะจัดเก็บรายได้ให้ได้ตามเป้าหมาย ก็สุดแสนยากเย็นแสนเข็น อย่างในปีงบประมาณ 2566 วงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท แต่ประมาณการรายได้ไว้ที่ 2.49 ล้านล้านบาท
หนทางหนึ่ง…ที่เข้ามาช่วยประคับประคองได้ คือ..เรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี
อย่างที่รู้กัน เวลานี้ ช่องว่าง ระหว่าง “คนรวย” กับ “คนจน” ของไทย ยังห่างกันมาก นั่นหมายถึง “ความเหลื่อมล้ำ” ยังมีอยู่สูง ใครรวยก็แสนรวย ใครรายได้น้อย ใครยากจน ก็สุดทนกันจริง ๆ
ด้วยเหตุนี้..ในแง่ของหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดเก็บรายได้โดยตรง อย่าง “กรมสรรพากร” ได้พุ่งเป้า พุ่งหมุดหมาย ไปยัง “พวกหลีกเลี่ยงภาษี” ที่มีรายได้อยู่นอกประเทศ หรือมีการนำเงินออกไปต่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
ในแต่ละปี ต้องยอมรับว่า จุดรั่วไหล ช่องว่าง ตรงจุดนี้ มีจำนวนไม่น้อย ที่มีเงินไทยหลั่งไหลไปอยู่ในต่างประเทศ ทำให้ประเทศต้องเสียโอกาสไปแบบไม่ควรจะเป็น และไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่เกิดขึ้นมานาน
ล่าสุด “กรมสรรพากร” จึงเตรียมจัดทำกฎหมาย เพื่อขยายความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ไม่ใช่ภาษี ทั้งเรื่องของเงินฝาก หรือแม้แต่ทรัพย์สินในต่างประเทศ กับสรรพากรทั่วโลก ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกของ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ “โออีซีดี”
ทั้งนี้ทั้งนั้น… ก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ ที่สำคัญยังเป็นการล้อมคอก หรือป้องกัน เงินทองที่ไม่ถูกต้อง เงินทองนอกกฎหมายที่ จะหลั่งไหลออกไปต่างประเทศ
ว่ากันว่า… กฎหมายฉบับนี้ อยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความเห็น ก่อนเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภา เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาออกกฎหมายกันต่อไป หากไม่มีอะไรสะดุด คาดการณ์กันว่า ในปีงบประมาณ 66 นี้ คงได้เห็นโฉมหน้าของกฎหมายฉบับนี้แน่นอน
นั่นหมายความว่า…เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ มีความร่วมมืออย่างเป็นทางการเกิดขึ้น บรรดาสถาบันการเงินต่างประเทศที่มีคนไทยฝากเงินอยู่ ต้องรายงานข้อมูลการฝากเงินของคนไทย ไปให้สรรพากรของประเทศต้นทาง ก่อนแจ้งกลับมาให้สรรพากรไทยรับทราบ
เช่นเดียวกัน!! ในแง่ของสรรพากรไทย ก็ต้องรายงานข้อมูลการฝากเงินของชาวต่างชาติ ที่ฝากเงินในประเทศไทย ให้กับประเทศต้นทางที่เป็นเจ้าของสัญชาติเช่นกัน
ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา “กรมสรรพากรไทย” มีศักยภาพไม่น้อยหน้าชาติอื่น คว้าสารพัดรางวัลจากต่างประเทศมามากมาย แถมยังผนึกกำลังกับต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว
ทั้งกรณีของการเปิดให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลด้านภาษีของชาวต่างชาติ ที่มีรายได้และเสียภาษีในไทย กับประเทศต้นทางที่เป็นเจ้าของสัญชาติ แถมยังเตรียมเชื่อมโยงข้อมูลอื่น ที่ไม่ใช่ข้อมูลเกี่ยวข้องภาษี อีกต่างหาก
สิ่งเหล่านี้ถ้าเดินทางไปถึงฝั่งฝันได้…เชื่อเถอะ การหลีกเหลี่ยงภาษีจะทำได้ยากขึ้น เพราะเวลานี้ หลายสถานที่ที่เป็นสวรรค์ของนักลงทุน อย่างเกาะบริติช เวอร์จิน ก็ได้เข้ามาเป็นสมาชิกของโออีซีดี กันหมดแล้ว
ปัจจุบันสมาชิกของโออีซีดี มีอยู่ 139 ประเทศทั่วโลก และทุกชาติต่างร่วมมือกันจัดทำมาตรการป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีระหว่างประเทศ ในหลาย ๆ มาตรการ
พูดให้ง่าย ในเมื่อกรมสรรพากร ได้ผนึกกำลังกับนานาชาติเช่นนี้ โอกาสของการขนเงินไปต่างประเทศ แบบผิดกฎหมาย ก็ย่อมมีน้อยลง แต่ขึ้นอยู่กับว่า…ความร่วมมือนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่? นั่นแหล่ะ…สำคัญ!!
………………………….
คอลัมน์ : EC Focus by Virgo
สนับสนุนคอลัมน์ โดย E@ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)