เมื่อเร็วๆ นี้บริษัท นีลเส็นฯ (Nielsen) จัดอันดับงบโฆษณาทั้งบริษัทเอกชนและหน่วยงานราชการ ตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2022 ไม่น่าเชื่อว่าแค่ 8 เดือนเท่านั้น สำนักนายกรัฐมนตรี ใช้งบประมาณราว 898 ล้านบาท เกือบๆ 900 ล้านบาท ติดอันดับ 9 ใน 10 อันดับแรก ถึงสิ้นปีอาจจะกว่าพันล้านบาท น้อยกว่าบริษัทโตโยต้าไม่กี่สิบล้านบาท มากกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อีกหลายราย
ก่อนหน้านี้ ข้อมูลจากบริษัท นีลเส็นฯ ระบุว่า ในปี 2564 ภาครัฐใช้งบโฆษณา 2,559 ล้านบาท และในปี 2565 คาดว่าจะใช้งบเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 5-6 จากปีที่แล้ว เพื่อ “ซื้อสื่อ” หรือพื้นที่โฆษณาบนหนังสือพิมพ์ ทีวี วิทยุ ป้ายโฆษณา สื่อออนไลน์ ฯลฯ ขณะที่ข้อมูลจาก TDRI เคยสำรวจพบว่า สถิติปี 2556 ใช้ไป 7,985 ล้านบาท ไม่รวมค่าจ้างเอเยนซี่ ออร์กาไน้เซอร์ ผลิตสื่อโฆษณา ค่างานพีอาร์ จัดงานอีเว้นท์เล็กและใหญ่ จัดทำสิ่งพิมพ์ ฯลฯ
หากย้อนเวลาสักสามสิบปีก่อน ไม่ว่านักการเมือง หน่วยงานราชการ จะทำพีอาร์ก็ใช้เจ้าหน้าที่กระทรวงและก็ไม่ค่อยทำพีอาร์ อย่างมากก็แค่เป็นข่าว จะเริ่มมีอย่างจริงจัง ก็หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่มีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งใช้นโยบาย “การตลาดนำการเมือง” โฆษณาประชาสัมพันธ์นโยบายประชานิยมของพรรค เป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่ในการสร้างคะแนนนิยมอย่างได้ผล
ตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นแฟชั่น พรรคการเมืองต่างๆ เข้ามาเป็นรัฐบาล เห็นว่าการทำพีอาร์ ทำอีเวนต์ได้ผล จึงทำบ้างกลายเป็นผลงานพรรค ต่อมานักการเมืองเริ่มใช้ในโฆษณาตัวเอง ทั้งผ่านสื่อทีวี. สิ่งพิมพ์ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสื่อรายใหญ่ๆที่มีอิทธิพล ในรูปแบบการโฆษณา การสนับสนุนงานอีเวนต์
จากการตรวจสอบพบว่า งบประเภทนี้จำนวนมากไม่เปิดประมูลเป็นการทั่วไป แต่ใช้ “วิธีคัดเลือกหรือวิธีเฉพาะเจาะจง” ผู้มีอำนาจ จึงฉวยโอกาสนำงบประมาณที่มีไป “อุดหนุนกลุ่มธุรกิจหรือสื่อที่เป็นเครือข่าย” คนกันเอง ใช้ต่อรองผลประโยชน์ ปิดปากสื่อ แทรกแซง หรือครอบงำสื่อบางรายให้เสนอข่าวบิดเบือน
การใช้งบประมาณแบบไม่บันยะบันยัง ทั้งที่เป็นภาษีประชาชน แต่ไม่ได้ใช้เพื่อประชาชน แต่เป็น “เครื่องมือทางการเมือง” และ “เอื้อประโยชน์” ให้แก่ธุรกิจของพรรคพวกที่ทำโฆษณาประชาสมพันธ์ ทำออร์กาไนซ์ ทำบริษัทเอเจนซี่ ถึงขนาดที่ นักการเมืองบางคนแอบตั้งบริษัท มารับงานในกระทรวงตัวเองดูแลอยู่ก็มี
จึงไม่แปลกใจ “หน่วยงานราชการ” กลายเป็น “ขุมทรัพย์” บริษัทพีอาร์ ออร์กาไนซ์ เอเจนซี่ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่วิ่งเข้าหาพรรคการเมืองหลากหลายวิธี บ้างก็เสนอตัวทำงานให้พรรคฟรีๆ เพื่อแลกกับการได้งานในกระทรวงที่พรรคนั้นดูแล บ้างก็มาเล่นการเมืองเองลงปาร์ตี้ลิสต์ หรือมาเป็นคณะทำงานให้พรรค เป็นกรรมการพรรค บ้างก็ยอมจ่ายใต้โต๊ะ เท่าไหร่ก็ยอม เพื่อแลกกับการได้งานที่เรียกว่า “เงินใต้โต๊ะ” หรือ “เงินทอน”
ในรอบหลายปีที่ผ่านมา การถลุงงบประมาณผ่านงานพีอาร์ ไม่ได้มีเฉพาะนักการเมือง รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ เท่านั้น ทุกวันนี้ได้ซึมลึกเข้ามาถึงข้าราชการในกระทวง ระดับกรม กระทั่งระดับกอง จะทำกิจกรรมอะไร ต้องมีบริษัท ออร์การ์ไนซ์มาจัดอีเวนต์ จ้างเอเจนซี่ บริษัทพีอาร์ มาทำประชาสัมพันธ์ทั้งที่กอง กรม กระทรวงนั้นๆ ต่างก็มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ประจำอยู่แล้ว แต่ที่จ้างบริษัทข้างนอก เพราะได้เงินทอน และไม่ต้องเหนื่อยแรง ข้าราชการบางคนก็มีบริษัทขาประจำที่คอยป้อนงานให้
ยิ่งหน่วยงานอิสระของรัฐหลายๆ องค์กรที่จะต้องทำหน้าที่โปรโมตโดยตรง แต่ละปีตั้งงบโฆษณาประชาสัมพันธ์มหาศาล เจ้าหน้าที่ไม่ต้องคิดงาน จะมีบริษัทข้างนอกคอยคิดอีเวนต์ คิดโฆษณาให้ แล้วแบ่งผลประโยชน์กัน หน่วยงานเหล่านี้ มีการใช้งบประมาณสุรุ่ยสุร่าย เกิดการผูกขาดอยู่ในมือรายใหญ่ไม่กี่ราย
เคยมีผลศึกษาเรื่องนี้ ระบุว่า เงินทอน หรือ เงินใต้โต๊ะ ที่เอกชนต้องจ่ายร้อยละ 15 ถึง 30 สำหรับงานโฆษณาและประชาสัมพันธ์ หากเป็นงานอีเว้นท์อัตราจ่ายจะมากถึงร้อยละ 40 ถึง 70 ของงบประมาณโครงการ สาเหตุที่งานอีเว้นท์ต้องจ่ายหนักกว่า เป็นเพราะ การตั้ง “ราคากลาง” ขาดฐานอ้างอิงชัดเจน เช่น ค่าจ้างดารานักร้อง ค่าระบบแสงสีเสียง เมื่อจัดงานก็ยากที่จะบอกได้ว่า ผลงานมีคุณภาพขนาดไหน ครั้นเมื่อจบงาน “หลักฐาน” ทุกอย่างถูกรื้อทิ้ง เหลือเพียงภาพถ่ายและรายงานบอกเล่า บางงานถูกจัดขึ้นในต่างประเทศ ดังนั้นถูกหรือแพง คุ้มหรือไม่ การตรวจสอบ/ประเมินเป็นเรื่องยากสำหรับคนนอกวงการ
เมื่อบริษัทเหล่านี้ต้องจ่ายใต้โต๊ะในอัตราทีสูงๆ ผลงานก็ไม่ได้คุณภาพ ทำแบบสุกเอาเผากิน บางทีได้ก็ทิ้งงานกลางคัน เพราะขาดทุน บางโครงการของราชการที่จะทำ ไม่ได้มีเนื้องานอะไรเลย แต่จัดอีเวนต์เปิดตัวใหญ่โต เสียเงินเป็นสิบล้านๆ เปิดเสร็จโครงการก็เงียบหาย ความสูญในเรื่องนี้เสียปีหลายพันล้านบาท ล้วนเป็นเงินภาษีประชาชนทั้งสิ้น
เหลือเวลาอีก 180 วัน ประเทศไทยก็จะเข้าสู่โหมดเลือกตั้งทั่วไป ช่วงนี้จะเป็นช่วง “นาทีทอง” ที่นักการเมืองจะใช้เงินงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน ทำประชาสัมพันธ์ “สร้างภาพ” ตัวเอง รวมไปถึงประชาสัมพันธ์นโยบายพรรค ผ่านช่องทางต่างๆ เรียกว่าเป็นช่วงที่ บริษัท พีอาร์ บริษัทออร์กาไนซ์ รวมถึงเอเจนซี่ ต่างวิ่งเข้าหานักการเมืองกันฝุ่นตลบ
จับตาให้ดี อย่าปล่อยให้ใครเอาภาษีของเราไปถลุงง่ายๆ
………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
#ยิ่งใกล้คุณยิ่งต้องดี #GCเคมีที่เข้าถึงทุกความสุข #GCChemistryforBetterLiving