ย้อนกลับไปเมื่อราวๆ เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ได้เกิดสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน แรกๆ คิดว่าแค่ “ข่าวลือ” นั่นคือ ข่าวดีลธุรกิจมูลค่าแสนล้าน ระหว่าง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจคมนาคมไทย ได้ประกาศการควบรวมอย่างเป็นทางการ
พร้อมกับมีการเปิดเผยรายละเอียดว่า บริษัท ทรู ที่มี บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นกับ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ที่มี บริษัท เทเลนอร์ เอเชีย เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ร่วมกันจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ ในนาม “บริษัท ซิทริน โกลบอล จํากัด” แล้วจะให้บริษัทที่ตั้งร่วมกันนี้ซื้อหุ้นทั้งหมดของทั้ง “ทรูและดีแทค”
ต้องยอมรับว่า ดีลนี้เป็นดีลประวัติศาสตร์จริงๆ เพราะนอกจากจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยกับยักษ์ใหญ่ต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจในไทยมาหลายปี มีคนไทยร่วมถือหุ้น โดยทั้งคู่เป็น เบอร์ 2 และ เบอร์ 3 ในธุรกิจโทรคมนาคมของไทย และยังเป็นคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันมาอย่างถึงพริกถึงขิงอีกด้วย
ฉะนั้น การควบรวมกิจการของทั้งคู่ย่อมไม่ธรรมดา จึงเป็นที่สนใจของสังคมอย่างกว้างขวาง พร้อมกับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการควบรวมกิจการครั้งนี้ เพราะหากดีลนี้สำเร็จจะทำให้ “ผู้ให้บริการ” เหลือเพียง 2 รายเท่านั้น จากเดิมที่มีรายใหญ่ 3 ราย ซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนผู้บริโภคที่ใช้บริการเท่ากับเป็นการ “ผูกขาดทางธุรกิจ” แน่ๆ ย่อมส่งผลเสียต่อผู้บริโภคอย่างมิอาจปฏิเสธได้
แม้ในฝั่งผู้ประกอบการฝั่ง “ทรูและดีแทค” จะออกมายืนยันอย่างหนักแน่นว่า ในการควบกิจการครั้งนี้ จะไม่กระทบผู้ใช้บริการอย่างแน่นอน แถมยังบอกว่า กลับจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการมากขึ้น เพราะจะช่วยให้ผู้ใช้บริการได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น การให้บริการจะมีคุณภาพ ความเสถียร และความเร็วโครงข่ายที่ดีกว่าเดิม
ทั้งยังอ้างอีกว่า การควบรวมครั้งนี้ จะเป็นการรวมโครงสร้างพื้นฐานของทรูและดีแทคเข้าด้วยกัน แปลว่า จะทำให้ลดต้นทุนการดำเนินกิจการของบริษัทลง จะส่งผลให้ผู้ใช้บริการได้รับค่าบริการที่ถูกลงตามด้วย
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า การควบรวมทั้งสองบริษัทจะทำให้ต้นทุนลด แต่ไม่ได้หมายความว่า ค่าบริการจะถูกลงตามไปด้วย สุดท้ายก็จะมีข้ออ้างสารพัดที่จะไม่ลดค่าบริการ ในทางกลับกัน การที่บริษัทควบรวมกันจะทำให้เหลือผู้บริการในตลาดน้อยราย กลับยิ่งทำให้ผู้บริการมีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น จากการที่มีตัวเลือกน้อยลง ผู้บริโภคย่อมเสียประโยชน์อยู่ดี
หากยังจำกันได้ หลังที่รัฐบาลไทยเปิดให้มีการประมูลคลื่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ ราวสามสิบกว่าปีก่อน สมัยนั้นมีผู้ประกอบการแค่ 2 ราย คนไทยที่ใช้โทรศัพท์มือถือ นอกจากจ่าย “ค่าแอร์ไทม์” แล้ว ยังต้องซื้อตัวเครื่องในราคาแพง เพราะตอนนั้นมีการผูกขาดแค่ 2 บริษัทนี้เท่านั้น จากบทเรียนในอดีต ตราบใดที่มีการผูกขาด คงเป็นไปไม่ได้ที่ค่าบริการจะถูกลงตามที่กล่าวอ้าง
เหนือสิ่งใดยังมีผลการศึกษาที่ระบุว่า หากมีการควบรวมค่าบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งผลการศึกษาของที่ปรึกษาทางการเงินทรูและดีแทค พบว่า ช่วงแรกที่มีการควบรวมกิจการ จะมีภาระค่าใช้จ่ายในการเอาดีแทคออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และนำไปรวมธุรกิจในชื่อใหม่ ตอนนี้ยังคงให้ชื่อเป็น บริษัท New Co. แล้วนำกลับเข้ามาในตลาดฯ อีกครั้ง การทำแบรนด์ดิ้ง แผนการตลาด ทำโปรโมชั่นจูงใจให้ลูกค้าอยู่ต่อในระยะแรก จำเป็นต้องลดราคาลง แต่ในระยะยาวค่าบริการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 10%
ส่วนแผนการศึกษาของนักเรียนทุนของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ “กสทช.” และฝ่ายวิชาการเอง ระบุชัดว่า หากผู้เล่นในตลาดโทรคมนาคมเหลือเพียงรายใหญ่เพียง 2 รายคือ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) และบริษัทใหม่ที่เกิดหลังจากควบรวมแล้วจะทำให้ค่าใช้บริการแพงขึ้นทันที 20-30%
อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องของประชาชนจะมีผลต่อการตัดสินใจของ กสทช. หรือไม่ จุดยืนจะเป็นอย่างไร วันที่ 20 ต.ค.นี้จะได้รู้กัน เพราะคณะกรรรมการกสทช.ได้กำหนดให้มีการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะ
แต่ที่น่าสนใจ ล่าสุด “ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวณิชย์” ประธานทีดีอาร์ไอ. ออกมาเขียนเฟซบุ๊ค ดักคอ “กสทช.” ก่อนที่จะมีการประชุม โดยเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันจับตาดูว่าอาจจะมีการเล่นกล ใน 3 ประเด็น คือ
1) การเล่นกลทางกฎหมายว่า กสทช.ไม่มีอำนาจควบรวม 2) การเล่นกลกำหนดเงื่อนไขเพื่อให้ควบรวมได้ และสุดท้าย 3) เล่นกลในตอนลงมติต่างๆโดยให้จับตาดูที่บทบาทของประธานกสทช.และบอร์ด กสทช.ที่เป็นตัวแทนของผู้บริโภค ให้ดี
แต่หากจะให้คาดเดา ก็น่าจะอยู่ใน 3 แนวทางดังนี้
แนวทางแรก หาก กสทช.เห็นว่าการรวมธุรกิจไม่ก่อให้เกิดการผูกขาดในการให้บริการ อาจมีคำสั่ง “อนุญาต” โดยไม่มีการกำหนดมาตรการเฉพาะ หรือเงื่อนไขในการรวมธุรกิจ
แนวทางที่ 2 กสทช.เห็นว่าการรวมธุรกิจก่อให้เกิดการผูกขาด ในการให้บริการ และไม่มีมาตรการใดๆ แก้ไขปัญหาการผูกขาดที่จะเกิดขึ้นได้ อาจมีคำสั่ง “ห้ามการรวมธุรกิจ”
แนวทางสุดท้าย กสทช.เห็นว่า การรวมธุรกิจก่อให้เกิดการผูกขาด แต่สามารถกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเพื่อแก้ไขการจะก่อให้เกิดการผูกขาดได้ อาจจะอนุญาตให้มีการรวมธุรกิจ และกำหนดเงื่อนไขและมาตรการเฉพาะเพื่อป้องกันการผูกขาด เช่น ต้องเรียกคืนคลื่น เสาประมูลใหม่ ขีดเส้นค่าบริการต้องไม่สูงเกินกำหนด เป็นต้น
ส่วนผลจะออกหัวหรือออกก้อย คงต้องรอผลการประชุมของ กสทช.วันที่ 20 ต.ค.นี้ คนไทยในฐานะผู้บริโภคคงได้ลุ้นว่าจะได้รับข่าวดีหรือข่าวร้าย
……………………..
คอลัมน์ : เศรษฐศาสตร์ข้างทาง
โดย “ทวี มีเงิน”
สนับสนุนคอลัมน์ โดย : บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
#ยิ่งใกล้คุณยิ่งต้องดี #GCเคมีที่เข้าถึงทุกความสุข #GCChemistryforBetterLiving