“เทพไท” ชี้คะแนนนิยม “หน.เท้ง” น้อยกว่าคะแนนพรรคปชน. ขณะที่คะแนนนิยม “นายกฯหนู” มากกว่าคะแนนพรรคภท. ส่วน “จุลพันธ์” ได้คะแนนนิยมต่ำกว่าพรรคพท.มาก มีเพียง “มาร์ค-พล.อ.รังษี” ที่คะแนนตัวบุคคลใกล้เคียงกับคะแนนพรรค เชื่อแต่ละพรรคการเมืองคงปรับกลยุทธ์ จะประกาศแคนดิเดตนายกฯ 3 คนหรือไม่ ขึ้นกับแต่ละพรรค
เมื่อวันที่ 24 พ.ย.68 นายเทพไท เสนพงศ์ นักวิเคราะห์การเมืองอิสระ และอดีต สส.นครศรีธรรมราช แสดงความเห็นเรื่อง “ทำไมต้องมีแคนดิเดตนายกฯ 3 คน” มีรายละเอียดว่า…“ผมขอวิเคราะห์ผลการสำรวจของ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ซึ่งได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทางการเมืองเป็นรายสัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสำรวจความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชน ตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และล่าสุดภาคตะวันออก ซึ่งผลของการสำรวจมีแนวโน้มในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน จึงขออนุญาตวิเคราะห์ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทางการเมืองของภาคตะวันออกเป็นหลัก จะพบว่า จากการสอบถามความเห็นของประชาชนว่า จะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี และจะสนับสนุนพรรคการเมืองใดเป็นรัฐบาล
ผลของการสำรวจปรากฎว่า ลำดับของความนิยมทั้งตัวบุคคลและพรรค เป็นไปตามลำดับเหมือนกันเกือบทั้งหมด แต่คะแนนความนิยมระหว่างบุคคลกับคะแนนความนิยมของพรรค ที่ไม่สอดคล้องกันก็คือ
1.ความนิยมของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ซึ่งมีความนิยม 15.90% เมื่อเทียบกับความนิยมของพรรคประชาชน ที่มีสูงถึง 24.65% แสดงให้เห็นว่าต่างกันเกือบ 10% การที่พรรคประชาชนต้องมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค 3 คน และประกาศชื่อชัดเจนแล้วคือ 1.นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ 2.น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล 3.นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ก็เพื่อเติมเต็มคะแนนนิยมในตัวบุคคล เพื่อให้สอดคล้องกับคะแนนนิยมของพรรค ซึ่งเห็นได้ว่า ถ้าหากมีกระแสความนิยมของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคในแต่ละคนมารวมกัน จะทำให้คะแนนนิยมตัวบุคคลกับพรรคใกล้เคียงกัน
2.คะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทย จะเห็นได้ว่า คะแนนนิยมของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะบทบาท “นายกรัฐมนตรี” มีคะแนนนิยมสูงถึง 15.35% ขณะที่คะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทย 10.95% ต่ำกว่าคะแนนนิยมของหัวหน้าพรรค ซึ่งโดยปกติคะแนนนิยมทั้งหัวหน้าพรรคและคะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้สูงขนาดนี้ แต่เมื่อนายอนุทินเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้บทบาทเด่น คะแนนนิยมตัวบุคคลจึงสูง แต่คะแนนนิยมพรรคยังต่ำอยู่ จึงต้องประกาศชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย คือ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส กับนางศุภจี สุธรรมพันธ์ เพื่อหวังคะแนนนิยมของพรรคเพิ่มขึ้น
3.คะแนนนิยมของนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งอยู่ที่ 3.65% แต่คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย อยู่ที่ 7.50% แสดงให้เห็นว่า คะแนนนิยมตัวบุคคลต่ำกว่ามาก จึงเป็นการบ้านที่พรรคเพื่อไทย จะต้องไปประกาศตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ที่มีคะแนนนิยมใกล้เคียงกับพรรคให้มากที่สุด

ส่วนพรรคการเมืองที่มีคะแนนนิยม ทั้งตัวบุคคลและคะแนนพรรคไปในทิศทางเดียวกัน สอดคล้องกัน คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีคะแนนนิยม 7.95% ในขณะที่คะแนนนิยมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค อยู่ที่ 8.20% ถือว่าใกล้เคียงกันมาก ซึ่งอาจไม่จำเป็นที่จะต้องประกาศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในนามพรรคประชาธิปัตย์เพิ่มก็ได้ แต่ถ้าหากจะให้เป็นไปตามบริบทการเมืองในยุคปัจจุบัน จะประกาศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีครบ 3 คนก็เป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ
ส่วนอีกพรรคหนึ่งคือพรรคน้องใหม่ เป็นพรรคม้ามืด คือพรรคเศรษฐกิจ ที่มีคะแนนนิยม 4.25% ในขณะที่คะแนนนิยมหัวหน้าพรรค คือพล.อ.รังษี กิตติญานทรัพย์ มีคะแนนนิยม 5.60% ก็ถือว่าใกล้เคียงกัน เป็นกระแสนิยมของหัวหน้าพรรค ที่มาจากกระแสทางสื่อโซเชียล ที่หัวหน้าพรรคมีบทบาทสำคัญในการออกทีวี วิเคราะห์ปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นที่ถูกใจของคนรักชาติหรือคนชาตินิยม จึงทำให้คะแนนของพล.อ.รังษี และพรรคเศรษฐกิจ จึงเป็นที่นิยมอย่างพลิกความคาดหมาย
การที่พรรคการเมืองจะปรับกลยุทธ์เข้าสู่สนามเลือกตั้ง จะประกาศแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีครบ 3 คนหรือไม่ ก็เป็นกลยุทธ์และยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองแต่ละพรรค แต่ถ้าหากว่า คะแนนนิยมของตัวบุคคลกับคะแนนนิยมของพรรคไม่สอดคล้องกัน ก็เป็นเรื่องจำเป็นต้องปรับบทบาททั้งของตัวบุคคลและของพรรคให้สอดคล้องกัน เพื่อรองรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้”



















