“พิธา-ธนาธร” แจงยันปลดล็อกท้องถิ่นไม่ใช่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ซัดอนุรักษ์นิยมสุดโต่งกักขังประเทศ เดินหน้ารณรงค์ต่อแม้ถูกคว่ำ ฝากก้าวไกลสานต่อภารกิจ ด้าน “อ.รัฐศาสตร์จุฬา” ซัดคนลงมติมองเรื่องการเมืองมากกว่าคุณภาพชีวิตปชช.
วันที่ 7 ธ.ค. 65 ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นายพริษฐ์ วัชรสินธ์ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายของพรรคก้าวไกล พร้อมสมาชิกพรรคก้าวไกล ร่วมกันแถลงหลังสภาคว่ำร่างกฎหมายปลดล็อกท้องถิ่น ว่า ตนขอใช้โอกาสนี้ชี้แจงถึงข้อที่เราคิดว่าไม่สมเหตุสมผลคือ 1. แนวคิดที่ว่าพวกเราสุดโต่งเกินไป เร็วเกินไป แรงเกินไป หลายคนกลัวว่าแนวคิดของเราจะนำไปสู่การแบ่งแยกประเทศมันแรงเกินไปหรือไม่ ตนถามกลับว่าแล้วท่านไม่กลัวหรือว่าถ้าไม่ทำประเทศจะช้าและประชาชนจะเดือดร้อนไปอีกนานเท่าไร ตนคิดว่าความกลัวของท่านเป็นความกลัวที่ไม่สมเหตุสมผล ความกลัวของท่านกำลังกักขังอนาคตของประเทศนี้ และอนาคตของคนรุ่นต่อไปอยู่ สุดโต่งเกินไปหรือไม่ตนถามกลับว่าการปล่อยให้ปัญหาของประชาชนไม่ได้รับการแก้ไขมาเป็นสิบๆ ปี เป็นการอนุรักษ์นิยมสุดโต่งเกินไปหรือไม่ คำถามคือสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ปัจจุบันนี้ต่างหากที่สุดโต่งเกินไปหรือไม่ ตนยืนยันว่าสิ่งที่เราทำและเสนอไม่ได้สุดโต่งเกินไป คนที่กักขังประเทศไว้อย่างนี้ต่างหากที่สุดโต่ง
นายธนาธร กล่าวต่อว่า คำชี้แจงต่อไปที่ตนคิดว่าไม่เป็นธรรม คือเรื่องการยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน ยืนยันว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้านแต่อย่างใด โดยเขียนไว้ว่าให้จัดทำแผนการยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค และมาทำประชามติว่าจะรับแผนยกเลิกส่วนภูมิภาคนี้หรือไม่ภายใน 5 ปี โดยให้สังคมไทยได้แลกเปลี่ยนกันว่าราชการส่วนภูมิภาคควรจะมีบทบาทอย่างไร และสุดท้ายคือเรื่องการทุจริต คิดว่าทุกรายงานยืนยันตรงกันหมดว่าส่วนกลางและส่วนภูมิภาคมีการทุจริตมากกว่าท้องถิ่น โดยในช่วง 15 ที่ผ่านมาส่วนกลางและภูมิภาคมีมูลค่าการทุจริตรวมประมาณ 4 แสนล้านบาท ขณะที่ท้องถิ่นมี 4 หมื่นล้านบาท และในช่วงปีที่ผ่านมาท้องถิ่น 7,850 แห่ง มีเรื่องร้องเรียนทุจริต 600 กว่าเรื่อง ขณะที่กระทรวงมหาดไทยกระทรวงเดียวมีข้อร้องเรียน 500 กว่าเรื่อง
“ความตั้งใจของเราไม่ใช่ความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เป็นการทำให้ประสิทธิภาพการบริหารงานภาครัฐ การให้บริการประชาชนของภาครัฐดีขึ้น ข้อกล่าวหาและหลายข้อสงสัยไม่ได้ตั้งอยู่บนความจริง แต่ตั้งอยู่บนอคติที่ผิดๆ เสียดายอย่างยิ่งที่การลงมติร่างรัฐธรรมนูญในวันนี้ถูกปัดตกไป ถ้าเราดูเฉพาะเสียงของ ส.ส. ผมต้องบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้เสียงรับหลักการมากกว่าเสียงไม่รับ จริงๆ แล้วที่มันไม่ผ่านต้องบอกว่ามันไม่สามารถหาเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ได้ถึง 84 เสียงหรือ 1 ใน 3 ตามที่กฎหมายกำหนด จึงน่าเสียดายโอกาสและเวลาของประเทศเป็นอย่างยิ่ง”นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร กล่าวต่อว่า ขอขอบคุณ 8 หมื่นกว่ารายชื่อ และหลายองค์กรที่สนับสนุนในเรื่องนี้ ขอให้ทุกท่านเดินต่อเพื่อผลักดันการกระจายอำนาจต่อไปร่วมกับเรา และขอบคุณ ส.ส.จากทุกพรรคการเมือง วันนี้ได้รับเสียงจาก ส.ส.ทั้งหมด 248 เสียง และ ส.ว.ทั้ง 6 เสียง แม้จะยังไม่เพียงพอแต่ขอขอบคุณจากใจของพวกเรา ถึงแม้พวกเราจะทำไม่สำเร็จในวันนี้ ตนและคณะก้าวหน้าจะรณรงค์เพื่อเพิ่มความเข้าใจต่อประชาชนในเรื่องการกระจายต่อไป เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าท้องถิ่นมีศักยภาพอย่างที่ท้องถิ่นปัจจุบันเป็น และขอฝากให้พรรคก้าวไกลสานต่อภารกิจนี้ต่อไปด้วย
ด้านนายพิธา กล่าวว่า ยินดีรับฟังและจะนำไปสานต่อ ซึ่งเราจะใช้เป็นนโยบายปราศรัยทุกเขต และยืนยันกับนายธนาธรว่า การกระจายอำนาจหรือการปลดล็อกท้องถิ่นได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ขณะเดียวกันหากไม่มีการแก้กฎหมายต่อไปในครั้งหน้า ไม่มีพรรคที่เอาด้วย ไม่มีส.ว.ที่มากกว่า 6 คน ประเทศไทยก็จะกระจุกตัวต่อไป ฉะนั้น ปัญหาของประชาชนที่ไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมหรือแล้งซ้ำซาก ขยะส่งกลิ่นเหม็น ก็จะไม่มีโอกาสได้แก้ไข เพราะหลักการในการปกครอง คนที่ใกล้ชิดกับปัญหาควรที่จะได้รับโอกาสในการแก้ปัญหา
ขณะที่นายวีรศักดิ์ เครือเทพ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า มีข้อคิด 2 ประเด็น คือ จากผลที่ออกมาในการลงมติในครั้งนี้ คือความรู้สึกเสียดายไม่เฉพาะแต่พวกเราเท่านั้น แต่เสียดายรายชื่อ 8 หมื่นกว่าคนที่แสดงความเห็นเข้ามา ผู้ที่ลงมติบางคนก็มองเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องการเมืองมากเกินไป และเอาเรื่องการเมืองมาปนกับคุณภาพชีวิตของประชาชน หากได้ฟังคำชี้แจงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาจะทราบว่าการกระจายอำนาจ ปลายทางคือคุณภาพชีวิตของประชาชน โอกาสที่ประชาชนจะได้ดูแล จัดการตัวเอง และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เร็วกว่าการรอกลไกของรัฐ แต่หลายท่านกลับมองคุณภาพชีวิตของประชาชนมาที่หลัง เมื่อมองไปเป็นประเด็นการเมือง ทำให้บางครั้งการคิด การตัดสินใจ ก็จะมีอคติ ประเด็นสุดท้ายคือเร็วๆนี้จะมีการเลือกตั้ง และตนก็มั่นใจว่านโยบายการปกครองส่วนท้องถิ่น จะเป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญ ที่พรรคการเมืองจะออกมาชูประเด็นเพื่อหาเสียง ตนจึงอยากให้ติดตามว่าผลจากการลงมติในวันนี้กับสิ่งที่แต่ละพรรคการเมืองจะหาเสียงต่อไป ไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ มีการกลืนน้ำลายหรือไม่