วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWSเปิดเวทีการเมืองวิถีใหม่ "6 พรรค" ชูเลือกตั้งครั้งหน้าแข่งกันที่นโยบาย
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เปิดเวทีการเมืองวิถีใหม่ “6 พรรค” ชูเลือกตั้งครั้งหน้าแข่งกันที่นโยบาย

“สยามรัฐ” เปิดเวทีการเมืองวิถีใหม่  6 พรรคชูเลือกตั้งครั้งหน้าสู้กันที่นโยบาย “จาตุรนต์” ยัน “เพื่อไทย” ศึกษาก่อนประกาศต่อสาธารณะ  “ชาติพัฒนากล้า” พร้อมคิกออฟ 19 ธ.ค. “พลังท้องถิ่นไท” เน้นกระจายอำนาจ  “รทสช.” แก้เหลื่อมล้ำ “ภท.” ยันไม่ใช่นักพูด เป็นนักปฏิบัติ

วันที่ 9 ธ.ค.65 เวลา 13.20 น. ที่อาคาร ดร.ศิโรจน์ ผลพันธิน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต นิตยสารสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ จัดงานสัมมนาพิเศษ ในโอกาส ก้าวสู่ปี ที่ 70 ในหัวข้อ “โอกาส ความหวัง การเมืองวิถีใหม่” โดยมี นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ , นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบกลุ่มงานนโยบายและข้อมูลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ,นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายทะเบียน พรรคภูมิใจไทย ,นายชื่นชอบ คงอุดม กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ,ศ.ดร.โกวิทย์ พวงงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังท้องถิ่นไท และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ร่วมเสวนา

นายจาตุรนต์ กล่าวตอนหนึ่งในหัวข้อนโยบายพรรคการเมืองจะสร้างโอกาสและความหวังในวิถีใหม่ให้กับประชาชนได้อย่างไรว่า นโยบายพรรคเพื่อไทยจะมุ่งแก้ปัญหาทั้งประเทศ โดยการเมืองสมัยใหม่ ต้องสนใจในสิ่งที่ประชาชนและสาขาในประเทศต้องการด้ จะทำให้ประเทศพ้นจากวิกฤติได้อย่างไรโดยเฉพาะวิกฤตเศรษฐกิจ และเวลานี้เกิดสภาวะที่หลายอย่างต้องปรับตัว ธุรกิจสมัยใหม่ต้องการใช้เทคโนโลยีใหม่ การเพิ่มทักษะของบุคคลเพื่อให้ประเทศแข่งขันกับคนอื่นได้พรรคต้องการแก้ปัญหาทั้งประเทศ เมื่อเสนอนโยบายในการเลือกตั้งแล้ว เมื่อได้เป็นรัฐบาลก็สามารถทำให้เกิดขึ้นจริง เราเคยทำมาแล้ว เราหวังว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าการแข่งขันในทางนโยบายจะกลับมา หลังจากที่มีน้อยมากจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เราหวังว่าจะมีการแข่งขันอย่างเข้มข้น โดยที่ประชาชนมีความหวัง นโยบายต้องสำคัญ ไม่ใช่เรื่องอำนาจรัฐ อำนาจเงิน หรือเน้นตัวบุคคล อย่างเดียว

“การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เกิดการถอยหลัง ประชาธิปไตยสะดุดอย่างรุนแรง ประชาชนให้ความสนใจน้อย เพราะการเลือกตั้งเกิดขึ้น ในช่วงรัฐบาลคสช. ไม่ถูกห้ามเรื่องการใช้งบประมาณ การแต่งตั้งโยกย้ายโดยที่กกต.ไม่ต้องพิจารณา เกิดการได้เปรียบ เสียเปรียบเกิดขึ้น การเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ทำให้เน้นไปที่จะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ แทนที่จะแข่งกันที่นโยบาย การเมืองน่าจะพ้นจากประยุทธ์หรือไม่ประยุทธ์ แต่ตอนนี้ ประเด็นนี้จะน้อยลงไป คาดหวังว่าประชาชนจะได้เห็นนโยบายของพรรคการมือง และขอให้ดูว่าพรรคการเมืองที่ประกาศไปแล้ว เรื่องใดไม่ทำ หวังว่าประชาชนจะได้ตรวจสอบ” นายจาตุรนต์ กล่าว

ด้านนายอลงกรณ์ กล่าวว่า ในการเลือกตั้งปีหน้าคาดว่าไม่เกินวันที่ 7 พ.ค. 66 การเลือกตั้งจะเป็นบททดสอบ ว่าประชาชนจะได้ตัดสินใจในช่วงการเมืองเปลี่ยนผ่าน พรรคประชาธิปัตย์ในยุคอุดมการณ์ทันสมัย ได้ออกแบบชุดนโยบายที่ไม่ได้มองเป็นชิ้นๆ แต่ต้องการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งระบบ และตอบโจทย์ ในอนาคตใหม่ ๆ นโยบายของพรรคต้องสร้างโอกาสและความหวัง เมื่อใกล้เลือกตั้งจะประกาศอย่างเป็นทางการ วันนี้พรรคอุดมการณ์ไม่ได้เปลี่ยน แต่นโยบายพรรคต้องเปลี่ยน วันนี้นโยบายเศรษฐกิจ ปากท้องประชาชนต้องมาก่อน ต้องสร้างรายได้ใหม่  สร้างศักยภาพใหม่สร้างโอกาสใหม่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ จับมือนำรายได้เข้าประเทศ 8.5 ล้านล้านบาทจากการส่งออก เราทำให้คลัสเตอร์ของการส่งออกผลไม้ อาหารให้ขึ้นมาอยู่อันดับต้นๆ พรรคได้ทำนโยบายต่างๆเหล่านี้มาหลายปีแล้ว เราสร้างโอกาส เพื่อก้าวขึ้นไป เราเปิดอีสานเกทเวย์ บริหารลอจิสติกส์ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณใหม่ การสร้างกลไกพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับหมู้บ้านตำบล 7,255ตำบล เรียบร้อยแล้ว วันนี้กำลังขับเคลื่อน ใช้เมือง และวิถีใหม่โดยชุมชน เพื่อชุมชน ยึดการบูรณาการร่วมกันอย่างแท้จริง จากนี้ไปพรรคจะเสนอนโยบายการจำกัดการถือครองที่ดิน ปฏิรูปภาษี พรรคการเมืองต้องกล้าอยู่เหนือผลประโยชน์และความขัดแย้ง พรรคเราออกจากความขัดแย้งมาแล้ว หากแบ่งขั้วสุดโต่งอย่างนี้ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะนำประเทศก้าวไปสู่หายนะ อย่างแน่นอน

ขณะที่นายศุภชัย กล่าวว่า แม้พรรคจะตั้งขึ้นมาใหม่ แต่เราก็เก๋า การเลือกตั้งเมื่อปี 62 การเสนอนโยบายไม่ได้มีมาก แต่พรรคเรามีนโยบายเสนอ จะพบว่าเราเสนอหลายนโยบาย เมื่อเราเข้าไปร่วมทำงานกับพรรครัฐบาล และผลักดันให้เกิดขึ้นจริง อย่างนโยบายปลดล็อคกัญชาอออกจากยาเสพติด  พรรคเราเข้าไปดูแล  3 กระทรวง เราขับเคลื่อนทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม และกระทรวงท่องเที่ยว

“พรรคเราไม่ใช่นักพูด แต่เป็นพรรคนักปฏิบัติ เราพูดแล้วทำ เห็นด้วยว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไปต้องสู้กันที่นโยบาย ในส่วนของพรรคมีทีมทำนโยบายมาตั้งแต่แรก  เราจะทยอยนำเสนอต่อประชาชน วันนี้สถานการณ์การเมืองจะเข้มข้นไปเรื่อยๆ ฉะนั้นประชาชนจะมีโอกาสได้มองเห็นมากขึ้น จุดขายของเราจะเสนอนโยบายที่แก้ปัญหาให้ชาวบ้านในหลายๆด้าน วันนี้ปัญหาสาธารณสุขเป็นเรื่องใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า เวลานี้หนี้สาธารณะเพิ่มเพดานมากขึ้น หนี้กึ่งการคลัง ปรับเพดานขึ้น ประเทศไทยเสียเอกราชเรื่องการควบคุมนโยบายการเงิน มานานแล้ว ปัญหาของไทยเอาเงินที่เก็บสะสมมาใช้ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ หากเราใช้คนเดิมในการบริหาร ประเทศเดินต่อไปไม่ได้ พรรคจะเปิดนโยบายเต็มตัววันที่ 19 ธ.ค.นี้ โดยคุณกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า  นโยบายของพรรคจะเน้นที่การเสมอภาค ไปที่คนตัวเล็ก ต้องรื้อโครงสร้างการปล่อยสินเชื่อในสถาบันการเงินในประเทศไทย
ต้องยกเลิกแบลกลิสต์ในเครดิตบูโร  นี่คือนโยบายที่พรรคจะเสนอ ต่อไป เพราะต่อให้พักหนี้ก็ต้องขอไม่ได้แพราะติดแบลกลิสต์อยู่ ดังนั้นต้องยกเลิก

ศ.ดร.โกวิทย์ กล่าวว่า พรรคคิดนโยบายแบบวิถีใหม่ เวลานี้ประเทศมีปัญหาเชิงโครงสร้าง การรวมศูนย์อำนาจมากเกินคือปัญหา พรรคเห็นชอบการปลดล็อคท้องถิ่น ทำให้มีงบประมาณมากขึ้น แทนที่จะไปใส่ไว้ในส่วนกลาง แต่หากนำมาให้ท้องถิ่นจัดการเชื่อว่าคุณภาพชีวิตของประชาชนจะดีขึ้น แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ พรรคเสนอนโยบายสร้างรายได้ใหม่ให้ประเทศ พลิกวิถีใหม่ หากมีรายได้ ให้ท้องถิ่น ให้มีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการ ไม่เห็นด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้ภาพแมคโคร มากระตุ้นแต่ต้องไปสร้างความแข็งแกร่งในระดับฐานราก การสร้างอัตลักษณ์ใหม่ๆของเมืองที่ต้องเกิดขึ้น พรรคจะสร้างอำนาจในเชิงสภาพลเมืองประจำท้องถิ่น ประชาชนต้องแป็นใหญ่กว่านักการเมือง สิ่งเหล่านี้ พรรคมองว่าหากเราทำให้ประชาชนเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ ต่างๆ ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบผู้ว่าฯ ในแต่ละจังหวัดได้ ตรวจสอบอบต.ได้ เราต้องเป็นเจ้าของเงิน เจ้าของอำนาจที่แท้จริง ดังนั้นนโยบายต้องตอบโจทย์  พรรคจะเสนอ การให้ชุมชนสร้างรายได้ให้กับตนเอง

นายชื่นชอบ กล่าวว่า  ปัญหาหลักๆของประเทศ คือความเหลื่อมล้ำ ความสามัคคี เห็นด้วยที่ว่าเราควรข้ามเรื่องต่างๆต้องไปสู่เรื่องของนโยบายได้แล้ว อยากให้มีความสบายใจว่าประเทศได้พัฒนาไปหลายเรื่องแล้ว อาทิการแก้ปัญหาโควิด ช่วง2-3 ปีที่ผ่านมา เราทำได้ดีจนได้รับการยกย่องในระดับโลก
ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ ความสามัคคีเป็นเรื่องที่เราต้องมาร่วมกัน ประเทศไทยมีคนดีมากกว่าไม่ดี ไม่อย่างนั้นเราคงเดินมาถึงวันนี้ไม่ได้ การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำต้องใช้เวลา แต่ขณะเดียวกันประเทศไทยก็มีโอกาส
เชื่อว่ารัฐบาลที่ผ่านมา หลายคนอาจไม่พอใจแต่ต้องบอกว่าปัญหาประเทศมีมาก แต่ก็มีหลายอย่างที่ได้ทำไปแล้ว ผู้นำที่ดีอย่างพบ.อ.ประยุทธ์ แม้หลายคนอาจะไม่ชอบ แต่ท่านให้โอกาสทุกพรรคได้ทำงาน และไม่เข้าไปก้าวก่าย ประเทศไทยไม่มีใครเก่งคนเดียว ต้องทำงานร่วมกัน พรรคตั้งใจทำงานแก้ความเหลื่อมล้ำ โดยไม่สิ้นเปลืองงบประมาณ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img