วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSลุ้นของขวัญปีใหม่จาก...“บิ๊กตู่” เอกชนร้องระงมรัฐ“ขึ้นค่าไฟ”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ลุ้นของขวัญปีใหม่จาก…“บิ๊กตู่” เอกชนร้องระงมรัฐ“ขึ้นค่าไฟ”

หลายวันก่อน!! โฆษกรัฐบาล “อนุชา บูรพชัยศรี” ได้ออกมาระบุถึงโพล “ของขวัญปีใหม่” ที่คนไทยทั้งประเทศอยากได้ ซึ่งเป็นการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่ออกเก็บข้อมูลเมื่อวันที่ 17-31 ต.ค.65 ที่ผ่านมา จากกลุ่มตัวอย่าง 6,970 ราย

ของขวัญปีใหม่อันดับแรก!! เป็นเรื่องของ การควบคุมดูแลราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค รองลงมาได้แก่ การลดค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา อันดับสาม ได้แก่ การแก้ปัญหาด้านการเกษตร ทั้งเรื่องของราคาพืชผลตกต่ำ การจัดหาตลาดรองรับผลผลิต ราคาปุ๋ยแพง

ส่วนอันดับที่สี่ คือเรื่องของ การแก้ไขปัญหาการว่างงาน ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และอันดับที่ห้า เรียกได้ว่าขาดกันไม่ได้เลยทีเดียว คือเรื่องของการมี มาตรการออกมาช่วยเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการคนละครึ่ง การเพิ่มเงินผู้มีรายได้น้อย และเพิ่มเบี้ยยังชีพคนชราและผู้พิการ

การเรียกร้องหาของขวัญปีใหม่เช่นนี้ …ยังคงสะท้อนให้เห็นถึง ปัญหาปากท้อง ที่ยังเป็นปัญหาของคนไทยมาโดยตลอด ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่แม้จะโงหัวกันขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาค่าครองชีพสูง

ล่าสุด!! สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ เอง ได้ออกมาตอกย้ำความเจ็บช้ำนี้ของคนไทย โดยย้ำว่า แม้แรงงานมีค่าจ้างที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสามารถในการใช้จ่ายของแรงงานเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ด้วยเพราะอัตราเงินเฟ้อสูง!! ที่ยังคงเป็นตัวกัดกร่อนเศรษฐกิจไทย ทำให้ค่าจ้างที่แท้จริงนั้นหดตัวลง โดยค่าจ้างที่แท้จริงของแรงงานภาคเอกชนยังหดตัวที่ 1.7% ขณะที่ค่าจ้างที่แท้จริงในภาพรวมนั้นหดตัวที่ 3.1%

“สภาพัฒน์” ระบุในการเปิดเผยข้อมูลทางด้านสังคมในไตรมาส 3 ของปี 65 ถึงค่าจ้างแรงงานภาคเอกชนและค่าจ้างโดยภาพรวมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 13,751 และ 15,213 บาทต่อคนต่อเดือน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.3% และ 3.8%

ในเมื่อค่าแรงที่ได้… เมื่อนำไปหักจากผลของเงินเฟ้อที่สูง ก็แทบจะเรียกได้ว่าไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว เผลอ ๆ เงินรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อหักลบกับอัตราเงินเฟ้อสูง ก็อาจติดลบเข้าซะอีก

ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไม? การเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องราคาสินค้าแพง จึงมาเป็นอันดับแรก ๆ ของผลสำรวจแทบทุกครั้งแทบทุกสำนักวิจัยที่จัดทำโพล

ส่วนเรื่องของการลดค่าไฟฟ้า ที่เรียกร้องกันเข้ามาเป็นลำดับที่ 2 ก็ไม่น่าจะผิดหวังกันสักเท่าใดนัก เพราะ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ได้ออกมาเคาะอัตราค่าไฟฟ้างวดใหม่ คือในงวด ม.ค.-เม.ย.66 กันชัดเจน

บรรดาบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ได้รับของขวัญปีใหม่ไปเต็ม ๆ เพราะยังคงเสียในอัตราเท่าเดิม คือหน่วยละ 4.72 บาท เรียกได้ว่ายังหายใจหายคอได้คล่องไปอีกอย่างน้อย 4 เดือน

แต่!! ในส่วนของภาคเอกชนแล้ว กลับต้องผิดหวัง เพราะ กกพ.ตัดสินใจให้ปรับขึ้นอีกหน่วยละ 97 สตางค์ จากเดิมหน่วยละ 4.72 บาท เป็น 5.69 บาท หรือปรับเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 21%

ต่อให้ที่ผ่านมา…ผู้ประกอบการต่างออกมาร้องแรกแหกกระเชอ ให้ภาครัฐทบทวนการขึ้นค่าไฟฟ้าของภาคเอกชน เพราะจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจเสียหาย ด้วยสุดท้ายแล้วเอกชนย่อมต้องส่งผ่านภาระไปยังประชาชนผู้บริโภค ด้วยการขึ้นราคาสินค้าอยู่ดี

หรือ…แม้แต่ การเรียกร้องผ่านไปยัง “บิ๊กตู่” ให้ทบทวนการขึ้นค่าไฟ เพราะหากนับจากงวดต้นปี 64 มาถึงงวดใหม่ต้นปี 65 หากเก็บตามที่ กกพ.กำหนดก็จะขึ้นถึง 70% จากหน่วยละ 3 บาท เป็นหน่วยละ 5.70บาท

ที่สำคัญ บรรดาภาคเอกชนต่างร้องระงมว่า ปัญหาต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่แพงขึ้นมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนที่เกี่ยวข้องบริหารผิดพลาดในส่วนของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย !!

ที่จนถึงเวลานี้!!!รายใหม่ยังไม่สามารถเข้าไปบริหารจัดการใด ๆ ได้ ด้วยซ้ำไป

ขณะที่ กกพ.ก็เดินหน้าตัดสินใจ ปรับขึ้นค่าไฟภาคเอกชน ทุกประเภท ทุกขนาดไม่ว่าจะเป็นสินค้า บริการ หรือภาคอุตสาหกรรม และอีกสารพัด…ไปแล้ว โดยให้เหตุผลต้นทุนเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติมีราคาแพงขึ้นมาก

เรื่องนี้…ต้องรอดูว่า สุดท้ายแล้ว “นายกฯบิ๊กตู่” จะตัดสินใจในเรื่องนี้อย่างไร เพราะอย่าลืมว่าในปีหน้า ยังมีขวากหนามมากมาย ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งการเมือง ที่ปฎิเสธไม่ได้ว่า ย่อมมีผลต่อการใช้ชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ

………………………

คอลัมน์ : EC Focus by Virgo

สนับสนุนคอลัมน์ โดย E@ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img