เปิดตัวสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว หลัง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ถือฤกษ์วันที่ 9 ม.ค. ลงนามในใบสมัครสมาชิกพรรค ยอมเสียเงินค่าสมาชิก 2,000 บาท เป็นสมาชิกตลอดชีพ
กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นการจัดอีเวนต์ครั้งใหญ่ ลงทุนใช้ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเป็นสถานที่ใช้ในจัดประชุมเอเปค 2022 ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุม คงหวังให้ย้อนนึกถึงความสำเร็จหัวหน้ารัฐบาล ในการร่วมประชุมเวทีระดับโลก นอกจากในงานจะมี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หัวหน้าพรรค “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เลขาธิการพรรค และผู้บริหารพรรค รวมถึง ส.ส. อดีตส.ส.และนักการเมืองหลายคนให้การต้อนรับ ในงานมีสมาชิกพรรคและประชาชนที่สนับสนุนเข้าร่วมกว่าหมื่นคน
ในโอกาสสำคัญ “พล.อ.ประยุทธ์” ขึ้นเวทีกล่าวในหัวข้อ Mission และทิศทางก้าวต่อไปเพื่อคนไทยทั้งชาติ รวม 33 นาที โดยช่วงหนึ่งกล่าวว่า วันนี้นี้ไม่ได้มาในฐานะนายกฯ แต่มาเพื่อบอกว่าทำไมตนต้องอยู่ รู้หรือไม่ว่าทำไม จะบอกว่าทำไมมายืนตรงนี้วันนี้ เมื่อเรามีหัวใจดวงเดียวกัน ทำเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน เป็นหลัก เราต้องเป็นที่พึ่งประชาชนทุกโอกาส เราต้องร่วมมือร่วมใจ
วันนี้หลายคนสงสัยว่า ตนอยากเป็นต่อหรือไม่ ตนไม่ได้อยากเป็นใหญ่ ไม่ได้อยากมีอำนาจ อำนาจมีเยอะแล้วมีมาทั้งชีวิต แต่ อำนาจมาพร้อมความรับผิดชอบ การมีอำนาจต้องใช้ให้ถูกต้องเป็นธรรม ตามกระบวนการ ที่มาวันนี้ไม่ได้อยากเป็น ไม่ได้อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่ และไม่อยากรับผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น
วันนี้ที่มายืนตรงนี้ เพราะตน เคารพในกระบวนการประชาธิปไตยของประเทศไทย ไม่ได้มาเพราะอยากอยู่ต่อ แต่อยากพูดกับทุกคนว่า ประเทศไทยต้องไปต่อ บนพื้นฐาน ความมีศักยภาพ ความมั่นคง เพื่อเดินหน้า สู่การเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ตลอดจนการพัฒนาประเทศ วันนี้ถ้ารวมใจ รวมคนไทย รวมไทยสร้างชาติ ทุกอย่างเราแก้ได้แน่
น่าสังเกตว่า “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ เดินทางมาร่วมงาน รทสช. โดยบอกว่า การเดินทางมาวันนี้มาให้กำลังใจพล.อ.ประยุทธ์ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และสมัครสมาชิกพรรค รทสช. เพราะเคยทำงานร่วมกันมานานเกือบ 9 ปี
นอกจากนี้ “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เดินทางมาร่วมในงาน โดยยอมรับว่ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรค รทสช. โดยต้องการ ที่จะมาช่วยงานเฉยๆ ไม่ได้ต้องการมีตำแหน่งใดๆ จะไม่ลงสมัคร ส.ส. ไม่ลงบัญชีรายชื่อ ต้องการมาช่วยเจ้านายเก่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเข้ามาช่วยดูผู้สมัครในส่วนของกทม.หรือไม่ พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวว่า แล้วแต่เขาจะให้ทำอะไร ให้ทำอะไรก็ช่วยทั้งนั้น เขาเป็นเจ้านายเก่า เราก็ต้องมาช่วย ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการพูดคุยอะไรใดๆ แม้แต่นายกฯก็ยังไม่ทราบว่าตนมา
ส่วนแกนนำต่างพรรค คนเด่นคนดังที่ถือเป็นบิ๊กเนม ยังไม่ปรากฏตัวปรากฏชื่อ ในงานเปิดตัว “พล.อ.ประยุทธ์” จากนี้ไปต้องตามไปลุ้นกันอีกที “หัวหน้ารัฐบาล” จะช่วยเป็นนางกวัก ดึงบุคคลที่โอกาสเป็นส.ส.เป็นแนวร่วมเพื่อให้พรรคได้เติบโต จนมีลุ้นในการจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ แม้หลายคนเชื่อด้วยจำนวนเป้าหมายส.ส. 25 ที่นั่ง คงไม่น่ามีปัญหาสำหรับพรรคน้องใหม่ ซึ่งจะมีสิทธิ์เสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯให้รัฐสภาร่วมโหวตได้
แต่เป้าหมายที่เลขาธิการ รทสช. ระบุว่า หวังจะได้ซัก 100 ที่นั่ง คงยากเย็นแสนเข็ญ ถ้าหากยังไม่มีบ้านใหญ่ต่างค่าย นอกเหนือจากในพื้นที่ภาคใต้มาช่วยชูโรง อย่าลืมการเลือกตั้งครั้งนี้จะเข้มข้นดุเดือด พรรคเพื่อไทย (พท.) ตั้งเป้าว่าต้องได้ ส.ส. 250 เสียง เพื่อลดอำนาจสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 250 คน ในการโหวตเลือกนายกฯ ส่วนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ผลสำรวจจาก “ซุปเปอร์โพล” ก็ระบุว่า หายใจรดต้นคอพรรคที่มีแนวโน้มจะชนะเลือกตั้ง
ขณะที่ “สุชาติ ชมกลิ่น” รมว.แรงงาน และ อดีตส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งเดินทางมาร่วมเปิดตัวพล.อ.ประยุทธ์ สมัครเป็นสมาชิกพรรค รทสช. โดยให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้มาให้กำลังใจพล.อ.ประยุทธ์ และพา ส.ส.มาครบ โดยมีส.ส.มา 15 คน
เมื่อถามว่า มั่นใจแค่ไหนหลังจากแยกตัวออกมาจากพรรค พปชร. “สุชาติ” กล่าวว่า ต้องมีความมั่นใจ ถ้าไม่มั่นใจจะมาอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร
และมั่นใจว่าทุกคนที่ตนพามา จะได้กลับไปเป็นส.ส.อีกครั้งแน่นอน และจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วย เพราะแต่ละคนก็มีความสามารถในจังหวัดอยู่แล้ว ส่วนผู้บริหารพรรคก็เข้มแข็ง แข็งแรงอยู่แล้ว อีกทั้งคะแนนส่วนตัวพล.อ.ประยุทธ์มีทุกจังหวัดในประเทศไทย
ส่วนพรรค พปชร. ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลปัจจุบัน “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง ในฐานะ เลขาธิการพรรค ก็ออกมาระบุว่า ในเดือนม.ค.นี้จะมีการประชุมพรรค พปชร.และประกาศให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ หัวหน้าพรรคพปชร. เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ซึ่งจะกำหนดวันประชุมภายใน 2-4 วันนี้โดยจะชูให้พล.อ.ประวิตรเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพียงคนเดียว เพื่อให้พรรคประสบความสำเร็จและเกิดความมั่นใจกับประชาชน
เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าพล.อ.ประวิตรเหมาะสมเป็นนายกฯ มากกว่าพล.อ.ประยุทธ์ใช่หรือไม่ “สันติ” กล่าวว่า ใช่ท่านเหมาะมาก เพราะเป็นทหาร และยังมีความรู้ด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งอีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนไม่รู้ คือมีความสามารถในการใช้คนทำงาน แต่ละภาคส่วน เช่น การบริหารจัดการน้ำ การจัดการที่ดิน ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ
แม้ที่ผ่านมา “พล.อ.ประยุทธ์” จะยืนยัน ไม่มีปัญหาขัดแย้งกับ “บิ๊กป้อม” ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่แห่ง 3 ป. ยังคุยและมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาโดยตลอด แต่ในทางการเมืองถือเป็นเรื่องผลประโยชน์ ใครดีใครได้ ยิ่ง “พล.อ.ประวิตร” ก็ยังมีบารมีในสภาสูง เมื่อถึงเวลาต้องพึ่งพาเสียงของส.ว. ต้องถือว่าหัวหน้าพรรคพปชร. ยังมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย
แม้กระทั่งการเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับ “พรรค พท.” ซึ่งมักมีข่าวเป็นระยะๆ ว่ามีข้อตกลงในการจับมือร่วมกันตั้งรัฐบาลไว้แล้ว เนื่องจากแกนนำพรรคฝ่ายค้าน หวังจะได้ คอนเนคชั่น ของ “พี่ใหญ่ 3 ป.” เป็นตัวเชื่อมกับสภาสูง แม้กระทั่งการยอมสละเก้าอี้นายกฯ หากคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่ได้ไม่ถึง 250 เสียง ซึ่งพรรค พท. มีความจำเป็นต้องได้อยู่ฝ่ายบริหาร เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นฝ่ายค้าน มา 8 ปีเต็มแล้ว ในทางการเมืองก็ถือว่า นานเกินพอ ถ้าภายหลังการเลือกตั้ง พท.ต้องเป็นฝ่ายค้าน เชื่อเลยพรรคต้องอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดแน่ๆ
ขณะที่ พรรค รทสช. คงเปรียบเหมือนหมู่บ้านกระสุนตก นอกจากจะถูกมอง ใช้วิธีเติบโต แบบตกปลาในบ่อเพื่อน ก็ยังถูกตราหน้าจากพรรคฝ่ายค้านทำนองว่า ต้องการ เข้ามาสืบทอดอำนาจ มีการนำผลการทำงานในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา มาแปลงสภาพให้กลายเป็นผลลบ โดยเฉพาะหากมี การจัดเวทีดีเบต “พล.อ.ประยุทธ์” คงตกเป็นเป้าในการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม หากไม่ยอมไปร่วมงาน ก็จะถูกปรามาสจากพรรคคู่แข่งว่า ไม่กล้าประชันวิสัยทัศน์ กับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งต้องดูยุทธศาสตร์ของ รทสช. จะแก้เกมนี้อย่างไร
ยิ่ง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล (กก.) ออกมาให้ความเห็นว่า การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญมาก นั่นคือประชาชนจะเลือกตั้งเพื่อปฏิเสธสิ่งแปลกปลอมออกไปจากการเมือง และยืนยันหลักประชาธิปไตย โดยการ ไม่เลือกพรรคการเมืองสืบทอดอำนาจ อย่างพรรคสังกัดของพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของคณะรัฐประหาร และถึงเวลาแล้วที่ท่านในฐานะนักการเมือง จะมาแข่งขันกับนักการเมืองด้วยกันแบบแฟร์เพลย์
ไม่ใช้เทคนิควิธีการหรือช่องโหว่ที่ตัวเองร่างกฎหมายมา เพื่อให้ตัวเองได้เปรียบมากกว่านักการเมืองคนอื่น และต้องเปิดกว้างต่อ การตรวจสอบสาธารณะ ไปร่วมทุกเวทีดีเบตประชันนโยบายและจุดยืนการเมืองให้ประชาชนได้เปรียบเทียบกับพรรคอื่นๆ อย่างรอบด้าน ยื่นบัญชีทรัพย์สินให้โปร่งใส ตอบคำถามของสังคมให้กระจ่างชัด ในหลายกรณีทุจริตที่เกี่ยวพัน กับรัฐบาลของท่านและตัวท่านเองด้วย
เชื่อว่า พรรคการเมืองในซีกฝ่ายค้าน คงตั้งเป้ามุ่งถล่ม “พล.อ.ประยุทธ์” เพราะถือว่าอยู่อำนาจมา 8 ปี อีกทั้งยังมีกลไกตามรัฐธรรมนูญ (รธน.) ที่สร้างความได้เปรียบให้อีก จึงง่ายกับการหาเรื่องราวต่างๆ มาผูกเป็นประเด็น เพื่อหวังดิสเครดิต แม้กระทั่งการใช้ช่องทางในสภา อภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรธน.มาตรา 152 นั้น คาดว่าจะบรรจุระเบียบวาระในช่วงต้นเดือนก.พ. ก่อนปิดสมัยประชุม ซึ่งถือเป็นทิ้งบอมบ์ครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง
ดังนั้นเมื่อก้าวเข้ามาทำงานในฐานะนักการเมืองเต็มตัว จากนี้ไป “พล.อ.ประยุทธ์” คงต้องยอมรับสภาพ แบกรับแรงกดดันต่างๆ ที่จะถาโถมเข้าใส่ โดยเฉพาะเมื่อเข้ามารับบทเป็นแคนดิเดทนายกฯของพรรค รทสช. จะช่วยสร้างอำนาจต่อรอง ให้พรรคได้มากน้อยแค่ไหน
……………..
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย…“แมวสีขาว”