วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 24, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight“เงินบาทแข็ง”รับดอลลาร์อ่อน-นักลงทุนเทขายทองทำกำไร
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เงินบาทแข็ง”รับดอลลาร์อ่อน-นักลงทุนเทขายทองทำกำไร

เงินบาทเปิดตลาด 32.73 บาทต่อดอลลาร์แข็งค่า หลังจากดอลลาร์อ่อน-นักลงทุนเทขายทองทำกำไร ตลาดจับตาเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในวันพรุ่งนี้

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.72 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.83 บาทต่อดอลลาร์ เป็นผลมาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้าน คือ ปัจจัยที่ช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา

ส่วนในวันนี้ เราประเมินว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างรอรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ในวันพรุ่งนี้

อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงาน GDP สหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 และ รายงานข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน เพราะหากภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจหนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้นได้บ้าง

นอกจากนี้ หากตลาดพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยง จากรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจกดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงได้ ซึ่งในกรณีดังกล่าว หากราคาทองคำย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ยังคงรอทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ทำให้โฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจกดดันให้เงินบาทผันผวนในฝั่งอ่อนค่าได้เช่นกัน

ทั้งนี้ เราคงมองโซนแนวต้านสำคัญของเงินบาทอยู่ในช่วง 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับสำคัญยังคงเป็นช่วง 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาทต่อดอลลาร์

ผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวและไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อตัวลง -0.18% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.02% โดยปัจจัยกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ คือ ความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอาจออกมาย่ำแย่ หลังจากที่หลายบริษัทในสัปดาห์นี้ อาทิ บริษัทเทคฯ ใหญ่ อย่าง Microsoft ได้รายงานผลประกอบการล่าสุดแย่กว่าคาด พร้อมกับให้มุมมองแนวโน้มผลประกอบการในอนาคตแย่กว่าที่ตลาดคาดอีกเช่นกัน

ซึ่งภาพดังกล่าวได้ส่งผลให้บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่าผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 ในไตรมาสที่ 4 อาจลดลงถึง -3%y/y แย่ลงจากที่เคยประเมินไว้ว่าจะลดลง -1.6%y/y ในตอนต้นปี

ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ยังคงปรับตัวลดลง -0.29% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่อาจออกมาแย่กว่าคาดเช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ นอกจากนี้ ความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันไม่ให้ผู้เล่นในตลาดหุ้นยุโรปกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นในระยะสั้นนี้

ด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลงสู่ระดับ 101.6 จุด หลังผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า เฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า ขณะเดียวกัน ความกังวลแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในฝั่งสหรัฐฯ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ การลงทุนในสินทรัพย์ อย่าง หุ้นสหรัฐฯ มีความน่าสนใจน้อยลง เมื่อเทียบกับการลงทุนในภูมิภาคอื่นๆ (นักวิเคราะห์ปรับคาดการณ์ผลประกอบการตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงดีขึ้นต่อเนื่อง

ขณะที่คาดการณ์ผลประกอบการในฝั่งสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวลดลง) ทั้งนี้ ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด กอปรกับ การย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) สามารถรีบาวด์ขึ้นจากโซนแนวรับ สู่โซนแนวต้านแถว 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ซึ่งเรามองว่า การปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านดังกล่าวของราคาทองคำ อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงาน GDP ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งตลาดประเมินว่า ในไตรมาสที่ 4 เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัวได้ +2.6% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี แต่ก็เป็นการชะลอลงของเศรษฐกิจจากที่โตได้กว่า +3.2% ในไตรมาสที่ 3 สะท้อนผลกระทบจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด รวมถึงแรงกดดันจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาทิศทางตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) หลังจากล่าสุด หลายบริษัทเอกชน โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มเทคฯ ได้ทยอยปรับลดการจ้างงานลง ถึง 8.4 หมื่นต่ำแหน่งนับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากรายงานผลประกอบการส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจช่วยทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินพลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้บ้าง

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img