ต้องยอมรับพลานุภาพของพรรคฝ่ายค้าน กับการทำหน้าที่ซักรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญ (รธน.) มาตรา 152 สร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นกับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้มากพอสมควรร แม้จะเป็นช่วงรัฐบาลกำลังจะหมดวาระ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
แต่อย่าลืมหัวหน้ารัฐบาล ได้ตัดสินใจไปต่อทางการเมือง แม้จะสามารถดำรงตำแหน่งนายกฯได้อีกเพียง 2 ปี ก็ตาม โดยสมัครเป็น สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้รับมอบหมายให้ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค รทสช. ดังนั้นฝ่ายตรงข้ามจึงต้องหาทางดิสเครดิต และทำลายความน่าเชื่อถือให้มากที่สุด
โดยเฉพาะการพุ่งไปที่ปมปัญหาปล่อยปละเลยให้ กลุ่มทุนจีนสีเทา เข้ามามีบทบาทในประเทศไทย รวมทั้ง หลานนายกฯ เข้าไปพัวพันกับธุรกิจของ “ตู้ ห่าว-ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์” หรือ “หาว เจ๋อ ตู้” รวมถึง ส.ว.บางคน ที่อาจเข้าไปพัวพันธุรกิจผิดกฎหมาย และให้พรรค รทสช. เช่าที่ดินตั้งที่ทำการพรรค ในฐานะที่ “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นผู้ลงนามแต่งตั้งส.ว. ซึ่งอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ และตอบแทนกัน
บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการนำข้อมูลมาตีแผ่ จนกลายเป็นประเด็นร้อนคือ “รังสิมันตร์ โรม” ส.ส บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โดยได้อภิปรายเปิดโปงถึงขบวนการค้ายาเสพติดฟอกเงิน มี “ส.ว.ทรงเอ” หรือ “ส.ว.อ” อยู่เบื้องหลัง ร่วมกับ “ทุน มิน หลัต” นักธุรกิจชาวเมียนมา ที่ถูกตำรวจไทยจับกุม โดยเชื่อมโยงว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนแต่งตั้ง ส.ว. อีกทั้งตึกที่ทำการพรรค รทสช. ก็เป็นของ “ส.ว.อ” ขณะที่ตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้ กลับถูกเด้งไปอยู่ สภ.บ้านเดื่อ จ.ชัยภูมิ ศาลอนุมัติหมายจับก ลับเพิกถอนหมายจับ ให้เปลี่ยนเป็นหมายเรียก
ทั้งยังปล่อยให้ ทุนจีนสีเทา-ตู้ห่าว ประกอบมิจฉาชีพ กอบโกยผลประโยชน์ ซึ่งบริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 3 ล้านบาท ทำให้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติลุกลาม สูบเอาผลประโยชน์จากคนไทยด้วยกัน แล้วเอาไปแสวงหาอำนาจ นอกจากนี้เครือข่ายทุนจีนสีเทายังแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงอีกด้วย
คำอภิปรายของส.ส.พรรคก้าวไกล ตอนหนึ่งระบุว่า ทำไมนายกฯ จึงยังอุ้ม ส.ว.คนดังกล่าว เพราะส.ว.คนดังกล่าวถือหุ้นใหญ่บริษัท ยูไนเต็ดเพาวเวอร์ ออฟ เอเชีย (UPA) แต่เจ้าตัวก็ออกมาอ้างว่าได้ลาออกแล้ว และขายหุ้นไปหมดแล้ว เพราะบริษัทดังกล่าวเกี่ยวข้องกับที่ดินแปลงหนึ่งในซอยอารีย์สัมพันธ์ 5 ที่บริษัทดังกล่าวได้สร้างตึกขึ้นมาหลังหนึ่ง และปัจจุบันนี้ตึกดังกล่าวสร้างเสร็จแล้วและเป็น ที่ทำการของพรรค รทสช. จึงขอให้นายกฯชี้แจงเรื่องนี้ ด้วยว่า ราคาค่าเช่าเท่าไหร่ หรือให้ยืมกันฟรีๆ ยืมพรรค ยืมที่ดินกัน ซึ่งนายกฯเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและการฟอกเงิน ตนไม่อยากจะจินตนาการว่าหากพล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯต่อ จะตอบแทนให้กับคนแบบนี้อย่างไร เพราะยังช่วยปกป้องคนแบบนี้ เพราะหวังผลประโยชน์ตอบแทนจากผลประโยชน์ธุรกิจมืดหรือไม่ จึงไม่กล้าทิ้งท่อน้ำเลี้ยงนี้
ขณะที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ชี้แจงถึงคดีตู้ห่าวว่า “พฤติกรรมเกิดขึ้นมานานพอสมควร ก่อนปี 57 โดยเข้ามาในประเทศปี 54 และมีการอนุญาตเรื่องสัญชาติ พฤติกรรมเหล่านี้ทราบในวันนี้หรือ ผมได้ให้ตรวจสอบย้อนหลังว่าเงินเหล่านี้ใช้กันอย่างไร เมื่อไหร่ ทราบว่าใช้ซื้อกิจการอสังหาริมทรัพย์ ยกหมู่บ้าน ไม่ทราบว่าบริษัทของใคร สำหรับรัฐบาลนี้ไม่มีแน่นอน ขายบ้านแล้วแถมสัญชาติ ถ้าตรวจสอบให้ดีจะทราบว่าภรรยาของนายตู้ห่าวมีความเกี่ยวข้องกับอดีตรัฐมนตรีของบางพรรคการเมือง”
หัวหน้ารัฐบาล กล่าวอีกว่า ยืนยันมาโดยตลอดจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้เด็ดขาด เพราะทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ปัญหาเรื่องคอร์รัปชัน หลายท่านยังกล้าพูด อดีตรัฐมนตรีหลายคน มีปัญหานี้ ติดคุกบ้าง หนีไปต่างประเทศก็มี รัฐบาลของผมตั้งแต่ปี 57 ยังไม่มีใครติดคุกสักคน ส่วนเรื่องยาเสพติด ถ้าทราบว่าใครเกี่ยวข้อง ขอให้แจ้งมาจะได้ดำเนินการตามกฎหมาย เราก็ต้องแก้ไขปรับปรุง ไม่ใช่ปราบยาเสพติดด้วยวิธีการฆ่า 2,000-3,000 คน
ถ้าดูวิธีการตอบคำถาม หัวหน้ารัฐบาลใช้วิธีการ โต้ตอบแบบนักการเมือง พยายามเปิดแผลฝ่ายข้าม ละเว้นที่จะชี้แจง ประเด็นอ่อนไหว ในเรื่องธุรกิจของหลานชาย ที่เข้าไปพัวพันกับธุรกิจของ “ตู้ห่าว” โดยอ้างเป็นเรื่องของกระบวนยุติธรรม
ส่วน “ธนกร วังบุญคงชนะ” รมต.ประจำสำนักนายกฯ และสมาชิกพรรครทสช. กล่าวถึงกรณี “รังสิมันต์ โรม” อภิปรายเกี่ยวกับธุรกิจทุนจีนสีเทาโยงพล.อ.ประยุทธ์ว่า ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่จริง นายกฯเป็นคนสั่งการให้ดำเนินคดีทุกเรื่อง รวมถึงอักษรย่ออะไรต่างๆ ก็ทราบอยู่แล้ว จากที่ ผบ.ตร.ได้รายงานนายกฯตลอด เกี่ยวกับคดีทุนจีนสีเทาที่วันนี้เข้าสู่กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมแล้ว
อย่างไรก็ตาม ที่เกิดคดีใหม่ๆ นอกจากให้เครดิต “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” แล้ว ผบ.ตร.ก็ดำเนินคดีเต็มที่มาตลอด แม้แต่นายชูวิทย์ก็ชื่นชมผบ.ตร. ขณะที่นายกฯ ยืนยันให้ดำเนินคดีเด็ดขาดไม่มีช่วยเหลือปกป้องนายก แม้มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องก็ไล่ออกมากมาย ย้ำว่าทุกอย่างเข้ากระบวนการแล้ว ดังนั้นสิ่งที่นายรังสิมันต์ อภิปรายจึงไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร
ส่วนที่นายรังสิมันต์ ระบุว่า พาดพิงส.ว.ทรงเอ เป็นเจ้าของที่ดินที่ทำการพรรค รทสช.นั้น “ธนกร” กล่าวว่า ตรงนี้เป็นการกล่าวหาที่ไร้ข้อมูลมากๆ และเรื่องนี้ก็ทราบมาก่อนว่า จะมีการหยิบยกมาอภิปราย ยืนยันว่าสำนักงานที่พรรค รทสช.ไปเช่านั้น ถูกต้องตามกฎหมาย และส.ว.คนที่กล่าวอ้าง มีชื่อเป็นตั้งแต่ปี 60-62 และนี่ก็ปี 65-66 แล้ว ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับพรรค และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค เป็นอดีตผู้พิพากษา มีความซื่อสัตย์สุจริตเช่นเดียวกับพล.อ.ประยุทธ์ ก็ย่อมรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ย้ำว่าไม่เกี่ยวข้องเป็นการกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม
“ถ้าผมบอกว่า พรรคก้าวไกลหรือพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ก็ไปเช่าตึกไทยซัมมิทอยู่ และเจ้าของตึก ก็มีคดีรุกป่า น้องชายติดสินบนใต้โต๊ะกับสำนักทรัพย์สินฯในการเช่าที่ หากผมกล่าวหาอย่างนี้ มันก็ไม่ถูก พรรคก้าวไกลไม่ทราบว่าเจ้าของตึกไปทำอะไรมา พรรคก็ไปเช่าถูกต้องตามกฎหมาย”
ขณะที่ปมการได้รับสัญชาติไทยของ “ตู้ ห่าว” นั้น “สุทธิพงษ์ จุลเจริญ” ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้ปรากฏข่าวเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย โดยปรากฏสำเนาเอกสาร ประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 131 ตอนพิเศษ 245 ง ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2557 ระบุชื่อบุคคลลำดับที่ 35 หาว เจ๋อ ตู้ เอกสารหนังสือสำคัญการแปลงสัญชาติเป็นไทย ลงวันที่ 26 มกราคม 2558 ของ หาวเจ๋อ ตู้ และปรากฏข้อความระบุว่า “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา คือผู้ที่ให้สัญชาติไทยแก่ ตู้ห่าว”
นายสุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า ในการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติการประชุมครั้งที่ 2/2556 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2556 ครั้งดังกล่าว มีมติเห็นควรเสนอ รมว.มหาดไทยใช้ดุลพินิจอนุญาตให้คนต่างด้าวแปลงสัญชาติเป็นไทยได้ จำนวน 12 ราย เพราะเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนของการได้สัญชาติไทยตามที่กฎหมายกำหนด
คือ 1) บรรลุนิติภาวะแล้วตามกฎหมายไทยและกฎหมายที่บุคคลนั้นมีสัญชาติ 2) มีความประพฤติดี 3) มีอาชีพเป็นหลักฐาน 4) มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรไทยต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ยื่นคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี 5) มีความรู้ภาษาไทยตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และนายหาวเจ๋อ ตู้ เป็นสามีของผู้มีสัญชาติไทย ซึ่งการพิจารณาฯ ไม่ได้เลือกปฏิบัติ เพราะรมว.มหาดไทยในขณะนั้นได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาอนุญาตให้นายหาวเจ๋อ ตู้ เป็นผู้ได้รับการแปลงสัญชาติเป็นไทยได้เมื่อปี 2556
“ส่วนในขั้นตอนการลงนามในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การได้สัญชาติไทย ลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 131 ตอนพิเศษ 245 ง ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2557 ซึ่งปรากฏชื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดารมว.มหาดไทย เป็นผู้ลงนามในประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับดังกล่าวนั้น เป็นเพียงขั้นตอนสุดท้ายในการปฏิบัติให้ครบถ้วนตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ” เท่านั้น
สำหรับปี 2556 อยู่ในช่วง รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมี “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” ดำรงตำแหน่งรมว.มหาดไทย
อย่างไรก็ตาม ย่อมมีคำถาม ในช่วงพล.อ.ประยุทธ์เข้ามาบริหารประเทศนับตั้งตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นมา ทำไมถึงปล่อยให้กลุ่มทุนจีนสีเทาเติบโต ถ้า “ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์” ไม่ออกมาเปิดโปงขบวนการกลุ่มทุนจีนสีเทา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทราบเบาะแส หรือหลักฐานสำคัญในการดำเนินคดี กับกลุ่มคนที่กระทำผิดกฎหมายหรือไม่ กลายเป็นว่าตำรวจและฝ่ายบริหาร ต้องมาไล่ตามการชี้นำของ “ชูวิทย์”
ดังนั้นถึงต้องบอกว่า เรื่องของทุนสีเทา เรื่องที่ทำการพรรค รทสช. ถ้าไม่ทำให้เกิดความกระจ่าง ก็จะเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้าม นำไปขยายผล ชี้ให้เห็นถึงความอ่อนด้อยประสิทธิภาพของ “พล.อ.ประยุทธ์” ในฐานะดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และเป็นประธานก.ตร. ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจ ซึ่งถือว่า ต้องรับผิดชอบเต็มๆ ในฐานะดูแลองค์กรสีกากี
ในที่สุดคงอยู่ที่ “หัวหน้ารัฐบาล” จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ ลุยสะสางปมร้อนได้มากแค่ไหน พรรค รทสช.จะสามารถเคลียร์เรื่องฉาว ให้สังคมหายคลางแคลงใจได้หรือไม่ แเม้คำอภิปรายของ “รังสิมันตร์ โรม” จะถูกส.ว.ที่ถูกพาดพิงฟ้องเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท แต่ข้อเท็จในประเด็นต่างๆ ก็คงเลี่ยงไม่พ้นที่จะถูกสื่อตามขุดคุ้ย โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหาย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการได้เสียในสนามเลือกตั้ง
……………..
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย….“แมวสีขาว”