วันอังคาร, พฤศจิกายน 26, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWS“SPCG”ประกาศปี65 มีกำไรสุทธิจำนวน 2,464.3 ลบ.กำไรต่อหุ้น2.20 บาท
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“SPCG”ประกาศปี65 มีกำไรสุทธิจำนวน 2,464.3 ลบ.กำไรต่อหุ้น2.20 บาท

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) “SPCG” ประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 4,358.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 2,464.3 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 2.20 บาท

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2565 และกำไรสะสม ในอัตราหุ้นละ 0.85 บาท ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายในงวดนี้ อัตราหุ้นละ 0.60 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 633,474,000 บาท (หกร้อยสามสิบสามล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นสี่พันบาทถ้วน) โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันพุธที่ 15 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม 2566 ทั้งนี้ สิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนจนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ

ดร.วันดี เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขณะนี้ยังเดินหน้าต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขายและให้บริการ จำนวน 4,358.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ จำนวน 2,464.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 2,736.6 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 2.20 บาท ในส่วนของรายได้ที่ลดลงเป็นผลอันเนื่องมาจากจำนวนกระแสไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายได้ จำนวน 374.3 ล้านหน่วย จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 36 โซลาร์ฟาร์ม รวมกำลังการผลิตกว่า 260 เมกะวัตต์ ลดลงจากปีก่อน จำนวน 12.7 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 3

อย่างไรก็ตาม SPCG ยังคงเดินหน้านโยบายปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุน O&M (Operating & Maintenance) สำหรับธุรกิจโซลาร์ฟาร์มทั้งในปัจจุบันและอนาคตลดลงอย่างเป็นนัยสำคัญ เพื่อเป็นการเสริมสร้างสภาพคล่องและรักษากำไรของบริษัท ทั้งนี้คาดว่าในปี 2566 ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ

ดร.วันดี กล่าวว่า ในส่วนของบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด หรือ “SPR” (บริษัทในเครือ SPCG) ผู้นำด้านการออกแบบและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Power Roof System)
มีรายได้จำนวน 512.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 141 เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งบริษัทฯ เดินหน้าขยายการติดตั้งอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการติดตั้งไปแล้วกว่า 200 เมกะวัตต์ ทั้งนี้เนื่องจากค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับกระแสการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่มีความต้องการมากขึ้น ด้วยนโยบายที่ประกาศให้ประเทศไทยจะเข้าสู่การใช้พลังงานในรูปแบบ Carbon Neutral ในปี 2050 และเป็น Net Zero ในปี 2065 อีกทั้งต้นทุนการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ได้ลดลง ถูกกว่าการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ถ่านหิน ซึ่งนอกจากจะมีราคาสูงแล้ว ยังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมสำคัญของโลกปัจจุบัน โดย SPR ได้มีการปรับเปลี่ยนแผนการตลาดและกลยุทธ์ในการขายอยู่ตลอด เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและทางเลือกให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ยังคงให้การตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเมื่อลูกค้าติดตั้งระบบโซลาร์รูฟของบริษัทแล้วต่างเห็นผลลัพธ์ที่ดี สามารถลดค่าไฟได้ทันทีเมื่อติดตั้ง อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้กิจการของลูกค้ามีกำไรเพิ่มขึ้น

โครงการโซลาร์ฟาร์ม

สำหรับโครงการโซลาร์ฟาร์ม Fukuoka Miyako Mega Solar ประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 67 เมกะวัตต์ (MW) แบ่งเป็น 2 Phase ได้แก่ North Phase 23 เมกะวัตต์ (MW) และ South Phase 44 เมกะวัตต์ (MW) ได้ดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ครบทั้ง 2 Phase เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2564 และเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ตามลำดับ โดยโครงการดังกล่าวมีงบการลงทุนทั้งสิ้น 3,140 ล้านเยน หรือ ประมาณ 805 ล้านบาท โดย SPCG ถือหุ้นที่ร้อยละ 10 คิดเป็นเงินจำนวน 314 ล้านเยน หรือประมาณ 91 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวมีอัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT 36 เยนต่อหน่วย ระยะเวลารับซื้อไฟฟ้า North Phase 18.7 ปี และ South Phase 17.8 ปี โดยมี Kyushu Electric Power Co., Inc. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า ทั้งนี้ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ในฐานะหนึ่งในบริษัทร่วมทุน เตรียมเข้าร่วมงานเปิดตัวโครงการดังกล่าวในเดือนมีนาคม 2566 ที่จะถึงนี้ ณ เมืองมิยาโกะ ฟุกุโอกะประเทศญี่ปุ่น

ด้านโครงการ Ukujima Mega Solar Project ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 480 เมกะวัตต์ (MW) งบการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 178,758 ล้านเยน หรือประมาณ 60,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 17.92% หรือคิดเป็นเงินจำนวน 9,000 ล้านเยน หรือประมาณ 2,700 ล้านบาท บริษัทจะชำระเงินงวดที่เหลือภายในปี 2566 โดยปัจจุบันโครงการดังกล่าวมีความคืบหน้ามากขึ้น อยู่ระหว่างขั้นตอนการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในเดือนกรกฎาคม 2567

“SPCG มั่นใจว่า โซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่นทุกโครงการที่บริษัทลงทุน นอกจากจะสามารถช่วยลดสภาวะโลกร้อน หรือ Climate Change แล้ว ยังสร้างผลตอบแทนที่ดีกลับคืนมาให้บริษัทได้ในอนาคต” ดร.วันดีกล่าว

นอกจากนี้บริษัทยังคงมองหาการลงทุนโครงการใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัท โดยจะเน้นไปที่พลังงานหมุนเวียนเป็นหลัก โดยได้ตั้งเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 1,000 เมกะวัตต์

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img