“สุชาติ” ยกกรณีแบงค์ล้ม “สหรัฐฯ-สวิตเซอร์ฯ” เตือนรบ.บริหารนโยบายการเงิน-สถาบันการเงินจะขึ้นดอกเบี้ยแบบกระหน่ำมากๆ เร็วๆ ไม่ได้ ชม “แบงค์ชาติไทย” รอบคอบเตรียมพร้อม
วันที่ 18 มี.ค.2566 นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาค อดีตรมว.คลัง และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า กรณีธนาคาร 2 แห่งในสหรัฐฯ ถูกสั่งปิดการดำเนินงาน คือ Silicon Valley Bank (SVB) และ Signature Bank และยังมีแบงค์เล็กๆ ที่ถูกถอนเงินช่วงสัปดาห์ที่แล้ว และวันนี้ก็มี ธนาคารเครดิตสวิส ใหญ่อันดับ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งหมดมีปัญหาขาดความเชื่อมั่น (Credit confident) จึงถูกแห่ถอนเงิน (Bank run) และราคาหุ้นตกมาก ทั้งนี้สาเหตุหลักเกิดจากการที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ขึ้นดอกเบี้ยแรงๆเร็วๆ ทำให้ภาคธนาคารและภาคธุรกิจปรับตัวไม่ทัน และการบริหารผิดพลาดไม่ระมัดระวังของตัวแบงค์เอง Silicon Valley Bank มีเงินฝาก 175,400 ล้านดอลลาร์ และ Signature Bank มีเงินฝาก 89,000 ล้านดอลลาร์ รวม 264,400 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐ ณ สิ้นปี 2022 มีเงิน 128,218 ล้านดอลลาร์ และคุ้มครองเพียง 250,000 เหรียญฯ แรกต่อบัญชี ไม่เต็มวงเงิน จึงจะทำให้เกิดการถูกแห่ถอนเงิน แล้วแบงค์ต่างๆ อาจล้มเป็นระบบได้
นายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีกฎหมายให้กระทรวงการคลัง ธนาคารกลาง และสถาบันคุ้มครองเงินฝากออกมาตรการคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนทุกบัญชีได้ เพื่อให้ประชาชนหยุดแย่งกันถอนเงินไม่ให้แบงค์ล้มเป็นโดมิโน ให้แบงค์ต่างๆ ดำเนินการไปได้ รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ ก็ออกมาประกาศจะอุ้มธนาคารเครดิตสวิส จะไม่ปล่อยให้ล้ม ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า หากมีภาวะความเสี่ยง ที่สถาบันการเงินอาจล้มเป็นระบบ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (ตอนนี้ประเทศไทยคุ้มครองไม่เกิน1 ล้านบาทต่อบัญชี) ก็ช่วยไม่ได้ รัฐฯ ต้องพิมพ์เงินมาคืนเงินฝากประชาชนอยู่ดีแล้วไปลดส่วนของทุนแบงค์ที่มีปัญหา ลดส่วนเจ้าหนี้ที่ไม่ใช่ผู้ฝากเงินและนำทรัพย์สินมาขายชำระหนี้ ส่วนที่ยังขาดทุนก็ให้กองทุนฟื้นฟูสถาบันการเงินฯรับภาระไป ไปเก็บเงินจากระบบแบงค์มาคืนในอนาคต ซึ่งตอนมีปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ล้มละลายในปี 2008 สมัยนั้นตนเป็นรมว.คลัง ก็ได้สั่งให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากไทย คุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนทุกบัญชี เพื่อป้องกันไว้ก่อนไม่ให้เกิดการถูกแห่ถอนเงิน ประเทศไทยจึงไม่เกิดปัญหา Bank run ในปี 2551-52
อดีตรมว.คลัง กล่าวอีกว่า แบงค์ SVB ให้กู้และรับฝากเงินจาก Hedge funds, Venture cap, Tech startup จึงมีผู้ฝากเงินรายใหญ่เกินกว่า 250,000 เหรียญจำนวนมาก โดยในช่วงโควิด ได้นำเงินฝากไปลงทุนซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และพันธบัตรเอกชนที่มั่นคงไว้ ได้ดอกเบี้ย 1.7-1.8% แต่เนื่องจากธนาคารกลางของสหรัฐฯ (Federal Reserve Bank) รีบขึ้นดอกเบี้ยสูงๆ และเร็วมาก ใน 1 ปีที่ผ่านมา จาก 0.50-75% เป็น 4.50-4.75% จึงทำให้ราคาพันธบัตรฯ ลดลงมาก เมื่อมีคนมาถอนเงินฝาก 2-3 พันล้านเหรียญฯ แบงค์ SVB ก็ต้องขายพันธบัตรเพื่อนำมาคืนเงินฝากทำให้ขาดทุนไป 1.8 พันล้านเหรียญฯ
จึงมีข่าวแบงค์ SVB ขาดทุน ประชาชนกลัวเงินฝากจะสูญ จึงเกิดการแห่ถอนเงินจากนั้นก็กระจายไปแบงค์อื่นๆและกระจายไปทั่วโลก รัฐบาลสหรัฐฯ จึงใช้มาตรการแรง โดยคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน(ไม่ใช่แค่ 250,000 เหรียญฯ ต่อบัญชี)เพื่อหยุดปัญหาแบงค์ล้มเป็นระบบ เราจะเห็นได้ว่าการรีบขึ้นดอกเบี้ยมากๆ (เพื่อลดเงินเฟ้อ) นอกจากจะลดการจ้างงานและลดอัตราความเจริญเติบโตของประเทศแล้วยังทำให้สถาบันการเงินต่างๆ ล้มลงได้ เช่น แบงค์ SVB ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี1983 เกือบ 40 ปีแล้ว กรณี ธนาคารเครดิตสวิส ซึ่งตั้งมาแล้ว 167 ปี ก็เช่นเดียวกัน
“การขึ้นดอกเบี้ยแรงๆเร็วๆ ยังทำให้ธุรกิจต่างๆ ปรับตัวไม่ทันและล้มลงได้ เพราะต้นทุนขึ้นยอดขายลด รายได้ลด รัฐบาลจึงควรระมัดระวัง อย่าให้ธนาคารกลางใช้มาตรการขึ้นดอกเบี้ยมากๆเร็วๆ โดยคิดไม่รอบคอบเพราะ “การปรับตัวใดๆ ต้องใช้เวลา ควรค่อยเป็นค่อยไป เมื่อปีที่แล้ว 2565 นักการเงินไทยหลายคน ออกมาเรียกร้องให้แบงค์ชาติไทยรีบขึ้นดอกเบี้ยมากๆ เร็วๆ ตามสหรัฐฯ หากแบงค์ชาติไทยได้ทำตาม เราคงเห็นระบบการเงินและสถาบันการเงินไทยมีปัญหาการแห่ถอนเงินฝาก และอาจล้มลงได้ ครับ “The financial sector must always be prudent” นายสุชาติ กล่าว