วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSนับถอยหลังเปิดศึกเลือกตั้ง‘พท.-รทสช.’ วัดพลังชิงบทบาท‘แกนนำจัดตั้งรัฐบาล’
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

นับถอยหลังเปิดศึกเลือกตั้ง‘พท.-รทสช.’ วัดพลังชิงบทบาท‘แกนนำจัดตั้งรัฐบาล’

ในที่สุดวันที่นักการเมืองหลายคนรอคอยก็มาถึง หลัง ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566  เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 66 เวลา 15.00น.

โดยมีสาระสำคัญที่ว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ ให้ประกาศว่า ด้วยนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลฯว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่พ.ศ.2562 และบัดนี้ได้ปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีที่ 4 อันเป็นปีสุดท้ายของอายุสภาผู้แทนราษฎรแล้ว

สมควรยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดให้มี การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อันเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองให้แก่ประชาชนโดยเร็วเพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

ต่อมา เมื่อวันที่ 21 มี.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) “แสวง บุญมี” เลขาธิการกกต. แถลงผลการประชุมกกต. ภายหลังมีการประกาศพ.ร.ฎ.ยุบสภาว่า ที่ประชุมกกต.มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานกกต.ได้เสนอดังนี้ เห็นชอบร่างแผนจัดการเลือกตั้งส.ส. โดยกำหนด วันเลือกตั้งส.ส.เป็นวันที่ 14 พ.ค.2566 วันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตและนอกเขตเลือกตั้งวันที่ 7 พ.ค. วันรับสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งวันที่ 3-7 เม.ย. 2566

วันรับสมัครรับเลือกตั้งส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และพรรคการเมืองแจ้งบัญชีรายชื่อบุคคลที่แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณ ห้องบางกอก อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) วันที่ 4-7 เม.ย.66 วันสุดท้ายเพิ่มชื่อ ถอนชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 3 พ.ค.2566 และวันแจ้งเหตุที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 7-13 และ 15-21 พ.ค.66 

พร้อมทั้งยืนยันว่า มีความพร้อมในการจัดเลือกตั้ง 110% ซึ่งจากนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง จะเป็น บทพิสูจน์การทำงานขององค์กรที่ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง จะทำงานสมกับที่คุยโวไว้หรือไม่

กกต.ประกาศความพร้อมในการจัดการเลือกตั้ง

ประเมินกันว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ จะเข้มข้นดุเดือดมากกว่าทุกครั้ง อย่าลืม “ขั้วพรรคฝ่ายค้าน” ทำหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบมาหลายปี ถ้าหากต้องพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งอีกครั้ง ต้องถือว่าเสียหายมาก หนทางที่จะทำให้พรรคเพื่อไทย (พท.) หรือพรรคในขั้วเดียวกัน ต้องมีสถานะเป็น “ฟาร์มงูเห่า” มีความเป็นไปได้สูง เหมือนช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงหมายมั่นปั้นมือ จะคว้าชัยชนะให้ได้อย่างถล่มทลาย เพราะรู้ว่าวุฒิสภา 250 คน ยังมีสิทธิ์โหวตคัดเลือกนายกรัฐมนตรี ร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร 500 คน นั่นหมายความว่า  ใครจะได้เป็นหัวหน้ารัฐบาลต้องได้เสียงโหวต 376 เสียง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนพรรคพท. จะพกความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพท. เมื่อวันที่ 9 มี.ค 66 “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” ส.ส.น่าน และ หัวหน้าพรรคพท. พร้อมด้วย “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย “เศรษฐา ทวีสิน” ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และคณะผู้บริหาร สมาชิกพรรค เข้าร่วมการประชุมพร้อมเพียง

หัวหน้าพรรคพท. ประกาศว่า “เราเคยประกาศยุทธศาสตร์และเป้าหมายของการชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายคือ แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน ต้องได้ส.ส.มากกว่า 250 ที่นั่งขึ้นไป แต่ในเวลานี้สิ่งที่เรามุ่งหวังตรงนั้น และสิ่งที่เราวางแนวทางเอาไว้ว่าจะต้องชนะส.ว. 250 ที่นั่งที่มีอยู่ในวุฒิสภา เมื่อถึงเวลานี้กราบเรียนด้วยความมั่นใจว่า เราไม่กังวลกับหน้าที่และอำนาจของส.ว.ต่อไปอีกแล้ว

เพราะเรามีความมั่นใจว่าเราผ่านจุด 250 เสียงขึ้นมาแล้ว ในเวทีนี้ผมจึงกล้าที่จะเชิญชวนทุกท่านประกาศคือ เราต้องได้อำนาจจากพี่น้อง 310 เสียงขึ้นไป ซึ่งเป็นเสียงที่จะบอกกับผู้มีอำนาจขณะนี้ ว่าเราต้องการกำจัดให้สิ้นซากซึ่งระบอบประยุทธ์ เป็นระบอบที่อันตรายมาก ที่ทำลายโอกาสของพี่น้องประชาชน ดังนั้น 310 เสียงเป็นหมุดหมายที่สำคัญที่เราจะร่วมสู้ร่วมก้าวกันต่อไป เพื่อให้ได้รัฐบาลของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริงคือรัฐบาลของพรรคพท.”

แม้ในความเป็นจริง จะไม่มีใครเชื่อว่า พรรคพท.จะทำตัวเลขเกิน 300  เสียงได้ แต่การได้ “บ้านใหญ่” กลับไปร่วมพลังเป็นฐานเสียงให้ ทั้ง “กลุ่มชลบุรี-กลุ่มสุชาติ ตันเจริญ-กลุ่มสามมิตร” จึงประมาทไม่ได้จริงๆ

พรรคเพื่อไทยประกาศแลนด์สไลด์

ส่วนคู่ต่อสู้คนสำคัญของพรรคพท. คงหนีไม่พ้น “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวนโยบายและยุทธศาสตร์ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พรรคการเมืองที่มี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” เป็นหัวหน้าพรรค และ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” ทำหน้าที่เลขาธิการพรรค

แม้จะเป็นเพียงน้องใหม่ทางการเมือง แต่ก็คาดหวังสูง ตั้งเป้าว่า ต้องได้ส.ส. หลังเลือกตั้ง 100 ที่นั่ง อีกทั้ง การประกาศสนับสนุน “พล.อ.ประยุทธ์” ให้กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกฯได้อีกเพียง 2 ปี ก็ถือว่าไม่ธรรมดา หรือมี “สัญญาณบางอย่าง” ที่ส่งมา และทำให้เกิดความมั่นใจว่า หัวหน้ารัฐบาลคนปัจจุบันจะได้ไปต่อ จึงแสดงท่าที่มั่นอีกมั่นใจ โดยส่งผู้สมัครลงครบทั้ง 400 เขต

เลขาธิการพรรคพ รทสช. เปิดเผยว่า “ในวันที่ 25 มี.ค.ได้นัดหมายว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.มาอบรมและซักซ้อมแนวทางการหาเสียง โดยจะมีพล.อ.ประยุทธ์ นายพีระพันธุ์ ทีมงานทั้งหมด รวมถึงทีมการเมืองทีมเศรษฐกิจจะมาร่วมงานในวันเปิดตัวด้วย โดยในวันที่ 25 มี.ค.ได้เรียกผู้สมัครทุกคนมาซักซ้อมความพร้อมแล้วปล่อยแถวให้เดินหน้าหาเสียงกับประชาชนอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. เป็นต้นไป”

สำหรับการจัดเวทีปราศรัยใหญ่พรรคจะเริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันเลือกตั้ง หมุนให้ครบทุกภาค โดยเฉพาะจังหวัดที่ตั้งเป้าหมายว่าจะได้ ส.ส.จะเน้นเป็นพิเศษ ส่วนไฮไลต์ในการหาเสียงของแต่ละจังหวัด พล.อ.ประยุทธ์และทีมผู้บริหารพรรคจะขึ้นเวทีพบกับประชาชน โดยจะมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาเพื่อการสื่อสารกับประชาชนให้เข้ากับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่

“เอกนัฏ” กล่าวอีกว่า ภาพรวมในการเลือกตั้งพรรค รทสช. มีความพร้อม ตั้งแต่พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ประกาศยุบสภา หลังจากยุบสภาเรา ก็ยิ่งมีความพร้อมทั้งเรื่องตัวผู้สมัคร นโยบายพรรค และตัวผู้นำแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากนี้ไปเดินเข้าสู่โหมดการหาเสียงเลือกตั้งอย่างเต็มรูปแบบ เราซักซ้อมผู้สมัครทุกคน ผู้บริหารทีมงานเตรียมพร้อมที่จะทำหน้าที่อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมสู้ศึกการเลือกตั้งในครั้งนี้เกิน 100 เปอร์เซ็นต์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯพรรครวมไทยสร้างชาติ

อย่างไรก็ตาม หลายคนคาดการณ์ว่า ถ้าหาก “รทสช.” อยากเป็น แกนนำรัฐบาล ก็คงต้องเอาใจช่วยพรรคร่วมรัฐบาลที่อยู่ในขั้วเดียวกัน ให้ได้เสียงรวมกันเกินกึ่งหนึ่งคือ 250 เสียง และภาวนาไม่ให้บางพรรคพลิกขั้วไปรวมกับพรรคฝ่ายค้านเดิม หรืออย่างการประกาศจับมือร่วมกับทางการเมือง ระหว่าง ภูมิใจไทย (ภท.) กับ พลังประชารัฐ (พปชร.) เพื่อเป็นขั้วทางการเมือง เพื่อให้มีอำนาจต่อรองภายหลังการเลือกตั้ง

ต้องยอมรับ หมุดหมายกับการได้เป็นแกนนำรัฐบาล หลังการเลือกตั้งคือ ใครยึดเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรได้ก่อน (250 เสียง) ซึ่งถ้าใครยึดครองเสียงนี้ได้ ส.ว.ทั้ง 250 คนคงไม่กล้าฝืนมติประชาชน จึงเป็นเรื่องที่ใครต่อใครต้องลุ้นระทึก

อย่าลืมการเมืองไทย มักมี เรื่องนอกเหนือความคาดหมาย หลายครั้งมักมี “เรื่องไม่คาดฝัน” เกิดขึ้น จนหลายคนก็ไม่อยากเชื่อ!!!

………………………………………….

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img