“ทายาทสาวคนเล็กของเสี่ยเจริญ-ฐาปณี” ขึ้นแท่น CEO หญิงคนแรกของ “เบอร์ลี่ ยุคเกอร์-BJC” ในรอบ 140 ปี มีผล 26 มิ.ย.66 พร้อมเปิดแผนลงทุน 5 ปี ทุ่มงบ 6 หมื่นล้าน ใน 5 ธุรกิจหลัก เฉลี่ยลงทุน 1.2-1.4 หมื่นล้านต่อปีครอบคลุมธุรกิจต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ
บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) (“BJC”) ประกาศแต่งตั้ง นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทฯ ซึ่งการขึ้นดำรงตำแหน่งครั้งนี้ของนางฐาปณี นับเป็นการแต่งตั้งผู้บริหารหญิงคนแรกที่ขึ้นดำรงตำแหน่งสูงสุดของ BJC ในรอบ 140 ปี หลังจากที่ได้มีบทบาทสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนธุรกิจของ BJC สู่ความสำเร็จในตำแหน่งกรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโสมาอย่างยาวนาน โดยกำหนดให้มีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย.2566 เป็นต้นไป
ปัจจุบัน นางฐาปณี ดำรงตำแหน่ง กรรมการบริหาร กรรมการการลงทุน และเลขานุการคณะกรรมการสรรหา กำหนดค่าตอบแทน และกำกับดูแลกิจการ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) รวมทั้งดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัท ทีซีซี อินเตอร์เทรด จำกัด บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทีซีซี โฮลดิ้งส์ จำกัด อีกด้วย อีกทั้งยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการนำกลุ่มบีเจซี และบิ๊กซี เข้าร่วมในกิจกรรมโครงการจิตอาสาพัฒนา ‘เราทำความดี ด้วยหัวใจ’ และได้รับรางวัลสตรีนักบริหารภาคเอกชนดีเด่น ประเภทสถานประกอบกิจการขนาดใหญ่ ประจำปี 2557 และ 2561 ด้านการศึกษา สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยฮาร์ดวาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา และระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ จากสถาบันเอ็มไอที (MIT) ประเทศสหรัฐอเมริกา และอีกสถานะคือ เป็นบุตรสาวคนเล็กของ “เจ้าสัวเจริญ-คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี”
ขณะเดียวกัน นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ซึ่งเป็นสามีของนางฐาปณี เดิมเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ BJC จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BRC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BJC ตามแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ
นางฐาปณี กล่าวว่า แผนธุรกิจระยะยาว 5 ปี (2565-2569) ของ BJC จะใช้งบลงทุน 60,000ล้านบาท แบ่งเป็นประมาณ 12,000-14,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมวางเป้าหมายเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตลอดจนถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนเพื่อตอบแทนสังคมไทย โดย BJC มีผลงานที่แข็งแกร่งในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงมีศักยภาพในการรองรับการ กระจายสินค้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชีย ปัจจุบันกลุ่ม BJC มีจุดจำหน่ายสินค้ามากกว่า 236,000 สาขา ทั่วภูมิภาคเอเชีย อาทิ เมียนมา มาเลเซีย เวียดนาม จีน สปป. ลาว และกัมพูชา เป็นต้น
BJC ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าและบริการครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มีกลุ่มธุรกิจแบ่งเป็น 5 กลุ่มหลัก คือกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ (Packaging Supply Chain) กลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค (Consumer Supply Chain) กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และทางเทคนิค(Healthcare & Technical Supply Chain) ธุรกิจการค้าปลีกและการค้าส่ง (Modern Trade Supply Chain) และกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ (Other business) โดยมีจำนวนพนักงานกว่า 54,000คน ใน 6 ประเทศ ข้อมูล ณ เดือนมี.ค.2566