วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 24, 2024
spot_img
หน้าแรกCOLUMNISTSเสียงสะท้อนแจก“เงินดิจิทัล” สารพัดปัญหา…ตามมาแน่!!
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เสียงสะท้อนแจก“เงินดิจิทัล” สารพัดปัญหา…ตามมาแน่!!

กระแสเรื่องการ “แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท” ของ “พรรคเพื่อไทย” กำลังกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนัก หลัง “เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ได้หยิบยกขึ้นมาในการขึ้นเวทีปราศรัย เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา

เหตุผลใหญ่…ของนโยบายแจกเงินดิจิทัล ครั้งนี้ !! “เศรษฐา” ระบุไว้ชัดเจนว่า เพื่อช่วยลดช่องว่างทางรายได้

เพราะเป็นการให้กับผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป แจกครั้งเดียว โดยต้องนำไปใช้จ่ายที่ภูมิลำเนาตามบัตรประชาชน

เพราะสุดท้ายแล้ว!! จะช่วยสร้างความเจริญเติบโตให้กับเศรษฐกิจไทย อย่างน้อยก็ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยหรือจีดีพีของประเทศเติบโตได้ที่ระดับ 5%

ทุกวันนี้!!เรื่องของการ “แจกเงิน” ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหน จะเป็น “เงินสด” จะเป็น “เงินไฮเทค” จะ “แจกให้ฟรี” หรือ “คิดดอกเบี้ยถูกแสนถูก” หรือ “แจกผ่านสารพัดนโยบาย”… ก็ถือเป็นแม็กเน็ตสำคัญ ที่บรรดาพรรคการเมือง ต่างหยิบยกมาเป็นนโยบายหลักเพื่อ “ซื้อใจ” คนไทยทั้งประเทศ

ยิ่ง ณ เวลานี้ วันที่คนไทยที่มีสิทธิ์…เข้าคูหาเทคะแนนเสียง เลือกคนที่ใช่!!พรรคที่ชอบ!! กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะจิต สารพัด “ไม้เด็ด” ที่ยังอุบอิบกันเอาไว้ ยังไม่ได้ปล่อยของ ก็จะทยอยออกมาให้เห็นในช่วงโค้งสุดท้าย

สารพัดนโยบาย “แจกเงิน” ต้องถือว่า มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจกันเลยว่า บรรดานักวิชาการ บรรดาภาคเอกชน ต่างออกอาการ “แสลงหู” ทุกครั้ง เมื่อมีการพูดถึงการแจกเงิน

หากเป็นภาวะปกติ ที่เศรษฐกิจเติบโตตามพื้นฐานได้อย่างน้อยปีละ 5% ก็ไม่เป็นปัญหา ดีซะอีก!ที่จะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่เห็นหนทางที่สดใสมากนัก ก็อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังได้

อย่าลืมว่า…ทุกวันนี้หนี้สาธารณะของประเทศล่าสุด ณ เดือนก.พ. 66 มียอดหนี้รวม 10,724,775.89 ล้านบาท หรือคิดเป็น 61.13% ของจีดีพี

ขณะที่การจัดทำงบประมาณในแต่ละปี ยังจัดทำแบบ “ขาดดุล” หรือ “รายรับน้อยกว่ารายจ่าย” โดยงบประมาณรายจ่ายประจำปี 67 ยังคงขาดดุลที่ 5.9 แสนล้านบาท มีรายจ่ายอยู่ที่ประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 5.18% ส่วนใหญ่มาจากรายจ่ายประจำ สวนทางกับรายได้ที่กำหนดไว้ที่ 2.7 ล้านล้านบาท

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บรรดา “กูรู” บรรดาภาคเอกชน จะออกมาทัดทานหรือออมาเตือนสติ เพราะแต่ละพรรคการเมืองต่างผุดต่างโชว์ความถนัดในเรื่องของการแจกเงิน แต่ในเรื่องของการ “หาเงิน” แต่ละพรรคการเมืองยังไม่ได้โชว์ให้เห็น

ด้วยเหตุนี้!! คนที่ทำธุรกิจ ก็ต้องหวาดกลัว ต้องหวาดผวากันเป็นแถว เพราะมองไม่เห็นรายรับ เห็นแต่ตัวแดง แล้วเศรษฐกิจของประเทศจะเดินต่อกันได้อย่างไร?

อย่างล่าสุด…“ธนิต โสรัตน์” รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย หรือ “อีคอนไทย” ตั้งคำถามให้เห็นชัดเจนว่า..จะนำเงินจากไหน? มาแจก

อย่าลืมว่า การเติมเงินในกระเป๋าดิจิทัล 10,000 บาท ในมือถือทุกคน กับคนมีอายุ 16 ปีขึ้นไป เท่ากับว่าจะมีผู้ที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 55 ล้านคน นั่นหมายความว่า!! ต้องใช้เงินงบประมาณสูงถึง 5.5-6 แสนล้านบาททีเดียว!!

เช่นเดียวกับ “สมชาย พรรัตนเจริญ” นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย ที่มองไม่แตกต่างกัน เพราะเป็นนโยบายที่เหมือนเป็น “ดาบสองคม” เช่นเดียวกับการให้บัตรประชารัฐ ที่ให้เงินแบบง่าย ๆ แบบไม่มีคุณค่า สร้างบริโภคนิยมให้เกิดขึ้น

ที่สำคัญ!! มากกว่า…แล้วเงินก้อนนี้…จะตกไปอยู่ในกระเป๋าใครกันแน่?

ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์อย่าง “สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์” นักเศรษฐศาสตร์ ก็มีความเห็นไม่แตกต่าง เพราะเป็นภาระต่องบประมาณ ซ้ำเติมการทำให้เกิดหนี้สิน แม้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจก็ตาม

หรือแม้แต่ “พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” คณบดีคณะพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหาร นิด้า ก็ตั้งคำถามไว้ว่า กำลังทำอะไร? เพราะต้องใช้เงินมากกว่า 5.4 แสนล้านบาท ถือเป็นนโยบายประชานิยมสุดขั้ว ซึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่อาจเป็นภาระต่องบประมาณ และอาจนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อและหนี้สาธารณะ ที่จะตามมา

เอาเป็นว่า …เมื่อพรรคการเมืองต่างประกวดประชันกันโดยใช้ “ตัวเลข” เป็นแรงดึงดูด ถามว่า? ในแง่ของ “คนรับ” ย่อมเห็นด้วยแน่นอน

แต่!! เมื่อประกาศแล้ว ก็ต้องทำ และต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน !! ไม่ใช่เมื่อได้ตามประสงค์แล้วทำลืมเลือน

………………………………

คอลัมน์ : EC Focus by Virgo

สนับสนุนคอลัมน์ โดย E@ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img