หน้าแรกCOLUMNISTSแก้รธน.ผ่าน-ไม่ผ่าน“พท.”คือผู้ชี้ขาด “อนุทิน”แก้เกมจ่อยุบสภาก่อน15ม.ค.

แก้รธน.ผ่าน-ไม่ผ่าน“พท.”คือผู้ชี้ขาด “อนุทิน”แก้เกมจ่อยุบสภาก่อน15ม.ค.

- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

จะบอกว่ามากับดวงก็ได้ หลังก่อนนั้น “รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล” เผชิญมรสุมรุมเร้าอย่างหนักหน่วง ทั้งการรับมือกับ “มหาอุทกภัย” ที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งการเป็น เจ้าภาพจัดการแข่งขันซีเกมส์ครั้งที่ 33 ที่สะท้อนถึง “ความไม่พร้อม” ซึ่งผิดฟอร์มจากอดีต เวลาประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานอะไรก็ตาม มักได้รับการยกย่องและชื่นชม

จนกลายเป็นเงื่อนไขที่สร้างความชอบธรรมให้กับ “พรรคเพื่อไทย” (พท.) กับการ ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ บวกไปรวมกับประเด็นเดิมที่เตรียมไว้คือ “ปมที่ดินเขากระโดง-ปมฮั้ว สว.-อนุมัติงบประมาณ 4,000 ล้านบาท เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโมโตจีพี”

แต่พอเกิดปัญหาการปะทะกันระหว่างทหารไทย-กัมพูชา รอบที่ 2 เลยดึงความสนใจจากคนไทยส่วนใหญ่ และอาจทำให้ “พรรคฝ่ายค้าน” ต้องปรับยุทธศาสตร์ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม หากจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในเวลานี้

ก่อนหน้านี้หลายคนคาดการณ์ว่า สัปดาห์นี้…มีความหมายทางการเมือง อาจนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะความเป็นไปของรัฐบาล ภายใต้การนำของ “อนุทิน” ในฐานะ “หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย” (ภท.) ที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ภายใต้เอ็มโอเอ (MOA) ที่ทำไว้กับ “พรรคประชาชน” (ปชน.) โดยมีภารกิจสำคัญคือ ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) 60 เพื่อนำไปสู่การร่างกฎกติกาปกครองประเทศไทยใหม่ จากนั้นต้องยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือน ซึ่งตรงกับวันที่ 31 ม.ค.69  แต่ไทม์ไลน์ดังกล่าว อาจไปไม่ถึง

หาก “พท.” ตัดสินใจยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะด้วยสถานการณ์เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และไม่แน่ใจว่า “พรรคสีส้ม” จะออกเสียงไม่ไว้วางใจด้วยหรือไม่ เพราะถ้า “สส. 2 พรรคฝ่ายค้าน” ร่วมกัน ก็มีเกือบ 270 เสียง  เท่ากับ “อนุทิน” ต้องพ้นสภาพการเป็นนายกฯ ทันที 

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อ “แกนนำ ภท.” ออกมาระบุว่า ถ้าหากมีการยื่นซักฟอกรัฐบาลจะยุบสภาทันที โดยไม่หวั่นเสียงวิจารณ์ว่า หนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

แกนนำพรรคเพื่อไทย

ขณะที่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวเล็ดลอดออกจาก “พท.” ระบุว่า “กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ได้ประชุมกันอย่างไม่เป็นทางการ มีความเห็นร่วมกันว่า จะยื่นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และจะเสนอให้ที่ประชุมสส.พรรค มีมติร่วมกัน เร็ว ๆ นี้ เมื่อเปิดประชุมสภาฯ สมัยสามัญ วันที่ 12 ธ.ค. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค จะเป็นผู้ยื่นญัตติต่อประธานสภาฯ ด้วยตนเอง แม้จะมี สส.บางกลุ่ม ไม่เห็นด้วย เพราะเกรงจะกระทบกระบวนการแก้ไข รธน. แต่สส.ส่วนใหญ่ เห็นว่าจำเป็นต้องยื่น เพื่อเปิดอภิปราย ทำลายคะแนนความนิยมของพรรคภูมิใจไทย ก่อนจะเข้าสู่การเลือกตั้ง และเป็นการกดดันพรรคประชาชน ให้เข้าร่วมอภิปรายฯ”

ทั้งยังระบุว่า “สถานการณ์ขณะนี้ รัฐบาลกำลังเพลี่ยงพล้ำ คะแนนนิยมลดลง ประชาชนไม่เชื่อถือ ไม่พอใจรัฐบาล ทั้งการแก้ปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่ และปัญหาสแกมเมอร์ เป็นโอกาสที่ดีที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่ประชุมกก.บห.ได้ประเมินแล้ว เห็นว่านายอนุทินจะไม่ยุบสภา เพราะเชื่อว่าพรรคประชาชนจะไม่ลงมติไม่ไว้วางใจ เพราะห่วงการแก้ไข รธน. จะไม่สำเร็จ แต่เราเชื่อว่า สส.พรรคประชาชนจะไม่สามารถทนแรงกดดันของสังคมได้ และต้องทบทวนท่าที ไม่กล้าอุ้ม หรือค้ำรัฐบาล ต่อไป พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญเช่นกัน เรื่องแก้ รธน. พรรคเพื่อไทยเป็นผู้นำและให้ความร่วมมือมาตลอด เราต้องทำทั้งสองอย่าง ไม่สามารถเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้ จึงต้องเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังจากการแก้ รธน. วาระ 2 ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา วันที่ 11 ธ.ค.นี้” แต่การหารือดังกล่าว เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ “ทหารไทย” ปะทะ “ทหารกัมพูชา”

โดยรอบนี้มีการสู้รบอย่างหนักหน่วงกว่าครั้งแรก ถึงขั้น “พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์” เสนาธิการทหารบก ออกมาระบุว่า “เป้าหมายคือ กองทัพบกจะทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพ ขีดความสามารถทางการทหารไปอีกยาวนาน เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานของเรา”

นั่นหมายความว่า ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่า ศึกปะทะระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน บทสรุปจะจบลงอย่างไร???

สอดคล้องกับท่าที “สุทิน คลังแสง” แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาให้ความเห็นถึงการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า “พรรคเพื่อไทยขอดูทิศทางการอภิปรายในการพิจารณาร่างแก้ไข รธน.วาระ 2 ก่อน ในวันที่ 10-11 ธ.ค. จากนั้นจึงจะประเมินสถานการณ์กัน ว่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อเลย หรือยื่นหลังร่างแก้ไข รธน.วาระ 3 ผ่าน เนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงตลอด ดังนั้นหากฟังการอภิปรายในวาระ 2 แล้ว ก็พอจะประเมินได้ว่า ร่างแก้ไข รธน.ในวาระ 3 จะผ่านหรือไม่ แล้วจะกำหนดวันเวลาที่จะยื่นอีกครั้ง”

นั้นหมายความวา “พท.” ก็กังวลเหมือนกันว่า จะตกเป็น “แพะรับบาป” หากทำให้ร่างแก้ไข รธน.ต้องตกไป เพราะมีการยุบสภาก่อน

ยิ่ง “อนุทิน” ออกมาให้ให้สัมภาษณ์กรณีการแก้ไข รธน.ว่า “จะต้องสำเร็จทุกอย่างเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้ วันที่ 10 ธ.ค. จะพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน.ในวาระที่ 2 และหลังจากผ่านวาระที่ 3 จะยุบสภา”

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตาม รธน. มาตรา 151 ก่อนที่จะผ่านวาระ 3 “อนุทิน” ตอบว่า “เรื่อง รธน.เป็นเรื่องที่สำคัญ คิดว่าทุกคนมีดำริที่จะแก้ไข รธน. เพราะผ่านการพิจารณาวาระที่ 1 มาแล้ว ช่วยกันผลักดันไประยะเวลาอีกนิดเดียว”

เท่ากับยืนยันว่า “ภท.” จะผลักดันเรื่องการแก้ไข รธน.อย่างเต็มที่ หลังก่อนหน้านั้น “ภท.” มักถูกวิจารณ์ว่า ไม่ต้องการให้แก้ไข รธน.มาตลอด ตั้งแต่ช่วงการร่วมรัฐบาลกับ “พท.” ซึ่งหัวหน้ารัฐบาลคงต้องการยืนยันว่า รักษาข้อตกลงที่ทำไว้กับ “ปชน.” และอาจหวังว่า พรรคสีส้มจะไม่ร่วมลงชื่อในการยื่นอภิปรายไม่วางใจกับวางใจกับพรรคสีแดง

แต่ “สุทิน” ก็ออกมาเปิดประเด็นใหม่ระบุว่า “ก่อนการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคจะยื่นร้องศาล รธน. เอาผิดจริยธรรมกับรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลก่อน ส่วนจะมีใครบ้างนั้น เชื่อว่าสังคมพอคาดเดาได้ ทั้งเรื่องคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี พฤติกรรมก่อนและหลังการเป็นรัฐมนตรี ซึ่งคุณสมบัติมิชอบ มีอยู่หลายคน โดยนายอนุทินก็อยู่ในข่ายด้วย  ซึ่งรัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มีประเด็น และข้อมูลเยอะที่สุดจากรัฐบาล ที่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจมา วันนี้เรามีแต่คิดว่าจะตัดประเด็นไหนออก เพราะมีเรื่องเยอะจริง ๆ เช่น เรื่องการจัดทำงบประมาณที่รัฐบาลชุดนี้อนุมัติงบแบบคาใจ ทำประชาชนตาค้าง เรื่องการจัดการเป็นเจ้าภาพกีฬาซีเกมส์ ซึ่งก็มีแต่ปัญหา”

นอกจาก “นายกฯ อนุทิน” ที่จะถูกยื่นสอบในเรื่องจริยธรรม เชื่อว่า “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า”  รองนายกฯ และรมว.เกษตรและสหกรณ์ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในรายชื่อ ที่ถูกยื่นสอบจริยธรรม อันเนื่องประวัติจากหนหลัง และเคยถูกจำคุกที่ต่างประเทศ ซึ่งการยื่นร้องครั้งนี้ คงหวังผลให้มีปัญหาติดตัวไปจนถึงหลังการเลือกตั้ง หากมีการแข่งขันในการจัดตั้งรัฐบาล จะได้กลายเป็นจุดอ่อน ที่ทำให้มีปัญหาและอาจมีความเสี่ยง หากมีโอกาสได้ลุ้นตำแหน่งนายกฯ

หรืออาจต้องการกลบกระแสข่าว การมีดีลลับระหว่าง “พท.” กับ “ภท.” โดยให้ยุบสภา ในวันที่ 12 ธ.ค. เพราะมีข่าวว่า “พท.” ไม่ต้องการให้การแก้ไข รธน.ผ่าน เนื่องจาก กมธ.แก้ไขร่าง รธน. มีข้อสรุปให้สมาชิกรัฐสภา 20 คน เลือก กมธ.ยกร่างรธน.ได้ 1 คน แต่ “พท.” ต้องการให้มีสภาร่าง รธน. (สสร.) และหากสูตรดังกล่าวมีผลบังคับใช้ “พท.” อาจไม่มีบทบาทในการคัดเลือก กมธ.ยกร่าง รธน. เพราะ “ปชน.” ถูกคาดหมายว่า จะได้ สส.มาเป็นอันดับหนึ่ง และ “ภท.” ที่มี “สว.สีน้ำเงิน” เป็นพันธมิตร อาจรวมตัวกันจับกลุ่มรายชื่อ บุคคลที่เข้าไปทำหน้าที่ร่าง รธน.จนคุมทิศทางในการร่างกฎหมายแม่บทในการปกครองประเทศได้ เท่ากับ “พท.” จะไม่มีบทบาทอะไรเลย

ดังนั้นการตัดสินใจยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ “พท.” อาจต้องการให้ร่างแก้ไข รธน. ต้องตกไป เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ตาม หัวหน้ารัฐบาลไม่ปล่อยให้ฝ่ายค้าน ได้อภิปรายจนถึงขั้นลงมติแน่ ๆ โดยมีรายงานว่าเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ว่า“ธนกร วังบุญคงชนะ” รมว.อุตสาหกรรม โพสต์ภาพกลุ่ม 16 ร่วมรับประทานอาหารค่ำ ที่ภัตตาคาร แกรนด์ เชียงการีล่า ธนิยะ ร่วมกับ “นายกฯ อนุทิน” และ “ไตรศุลี ไตรสรณกุล” เลขาธิการนายกฯ

ประกอบด้วย 1.สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกฯและรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะแกนนำกลุ่ม 2.ธนกร วังบุญคงชนะ 3.เกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ 4.ศาสตรา ศรีปาน สส.สงขลา 5.วัชระ ยาวอหะซัน สส.นราธิวาส 6.จิรวุฒิ สิงห์โตทอง สส.ชลบุรี 7.พิพิธ รัตนรักษ์ สส.สุราษฎร์ธานี 8.พันธ์ศักดิ์ บุญแทน สส.สุราษฎร์ธานี 9.ธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ สส.เพชรบุรี 10.จ.อ.อภิชาติ แก้วโกศล สส.เพชรบุรี 11.กุลวลี นพอมรบดี สส.ราชบุรี 12.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล สส.นครศรีธรรมราช 13.สันต์ แซ่ตั้ง สส.ชุมพร เขต 2 14.พล.ต.ต.สุรพล บุญมา สส.นครนายก และ 15.อนันต์ ปรีดาสุทธิจิตต์ สส.ชลบุรี 

ทั้งมี มีรายงานว่า ภาพดังกล่าวเป็นการรับประทานอาหารเมื่อค่ำวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดย “อนุทิน” อยู่รับประทานอาหารและพูดคุยกับบรรดา สส.กลุ่มดังกล่าวประมาณ 3 ชั่วโมง เป็นการพูดคุยเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา, ปัญหาน้ำท่วม โดยช่วงหนึ่ง “นายกฯ อนุทิน” บอกกับ “สส.กลุ่ม 16” ว่า “ช่วงระหว่างวันที่ 13-15 ม.ค.69 มีการพิจารณากฎหมายสำคัญที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังจากพิจารณาเสร็จในวันที่ 15 ม.ค.จะยุบสภาทันที”

ขณะที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา “อนุทิน” ได้นัดหารือระหว่าง “แกนนำ ภท.แต่ละกลุ่ม” โดยมีการพูดคุยกันถึงไทม์ไลน์ยุบสภา หลังเสร็จสิ้นการพิจารณาแก้ไข รธน.วาระ 3 คาดว่าจะเป็นช่วงหลังปีใหม่ ขณะเดียวกัน ได้มีการพูดคุยกันถึงฉากทัศน์อื่น ๆ เช่น หาก “พท.” ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาตรา 151 ก็จะประกาศยุบสภา หากมีการยื่นปุ๊บ-ยุบทันที

นอกจากนี้ ในการประชุมพรรค ภท.เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. “อนุทิน” ได้พูดในที่ประชุม สส.ถึงไทม์ไลน์ยุบสภาในทำนองว่า “หาก “พท.” ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อไหร่ จะยุบสภาทันที ต่อให้ “ปชน.” จะยกมือให้ก็ไม่เสี่ยง ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น ขอใช้อำนาจที่มียุบสภาทันที ไม่ต้องการอยู่ในประวัติศาสตร์ เป็นนายกฯ คนแรกที่พ้นตำแหน่งเพราะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนเรื่องความพร้อมไม่ต้องห่วง ทำหนังสือ พิมพ์อักษรทุกตัวเอาไว้หมดแล้ว รอลงวันที่อย่างเดียว และไม่รอให้ถึงวันที่ 31 ม.ค.69 ไม่รอให้ใครมาทวงถาม จะก่อน 10 วัน-20 วัน รอดูจังหวะ”

คงต้องไปตีความในเรื่องกฎหมาย ถ้า “พท.” ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถึงมือ “วันมูฮะหมัด นอร์มะทา” ประธานสภาผู้แทนราษฎร แล้ว “หัวหน้ารัฐบาล” จะยุบสภาฯ ได้หรือไม่

เพราะมีข้อถกเถียงว่า…ตราบใดที่ญัตติซักฟอก ยังไม่บรรจุวาระ ยังสามารถยุบสภาได้ แต่ทาง “ประธานสภาฯ” กลับระบุว่า “ยุบไม่ได้”

แต่ที่แน่ ๆ คือ รธน.จะผ่านไปถึงวาระที่ 3 หรือไม่ คงขึ้นอยู่กับ “พท.” หากที่ประชุมรัฐสภา ไม่เห็นชอบตามข้อเสนอของ “พท.” ที่ขอให้ทบทวน “ที่มาของบุคคล” ที่จะเข้ามายกร่าง รธน. ก็อาจยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังร่างแก้ไข รธน. ผ่านวาระที่ 2 ในต้นเดือนม.ค.69 เพราะไม่อยากให้เครดิตตกไปอยู่กับ “พรรคสีส้ม” และ “พรรคสีน้ำเงิน”

นาทีนี้คงต้องบอกว่า รธน.จะได้ไปต่อหรือไม่ “พท.” ในฐานะอดีตพรรคแกนจัดตั้งรัฐบาล จะมีบทบาทสำคัญในการชี้ชะตา

…………………………………

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”

- Advertisement -spot_imgspot_img
RELATED ARTICLES

HIGHLIGHT

- Advertisment -spot_img
spot_img

Most Popular

- Advertisement -spot_img
spot_img
- Advertisement -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img