วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight“ก้าวไกล”แฉ IO แบ่ง‘ฝ่ายขาว-ฝ่ายดำ’ “บิ๊กช้าง”โต้ไม่ได้ทำให้ปชช.เกลียดกัน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ก้าวไกล”แฉ IO แบ่ง‘ฝ่ายขาว-ฝ่ายดำ’ “บิ๊กช้าง”โต้ไม่ได้ทำให้ปชช.เกลียดกัน

ศึกซักฟอกรมต.วันที่ 4 เดือดแต่เช้า “เด็กก้าวไกล” ตีแผ่เครือข่ายทำไอโอของกองทัพ พ่วง “กรมกร๊วก” จัดทำ “ฝ่ายขาว-ฝ่ายดำ” สร้างความแตกแยก-ความเกลียดชังในประเทศ โดยใช้งบประมาณแผ่นดิน “บิ๊กช้าง” โดดป้องนายกฯ ยันไม่เคยสั่งทำไอโอป้ายสีใคร ย้ำทหารคือประชาชน เป็นแค่พัฒนากำลังพลให้รู้เท่าทันสื่อโซเชียล เหน็บ “ณัฐชา” เชี่ยวชาญกว่ากองทัพเสียอีก

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 19 ก.พ.64 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง เป็นประธานในการประชุม ที่ประชุมได้พิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ของพรรคร่วมฝ่ายค้านเป็นวันที่สี่ ทั้งนี้นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ระบุว่า ขณะนี้ฝ่ายค้านเหลือ 13 ชั่วโมง 45 นาที 42 วินาที อยากให้ฝ่ายค้านส่งผู้อภิปราย และอภิปรายรัฐมนตรีท่านใด เพราะการจราจรหน้าสภาติดขัดมาก ด้านนายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะวิปฝ่ายค้าน ขอยืนยันที่ 42 ชั่วโมง ส่วนตัวผู้อภิปราย และจะอภิปรายถึงรัฐมนตรีขอเป็นเอกสิทธิ์ที่จะไม่บอก เพราะอาจจะมีการปรับปรุงเนื้อหาเพื่อความเหมาะสม และที่ไม่สบายใจที่มีสมาชิกผู้หนึ่งพึ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่มีการอภิปรายเหยียดเพศ หรือการคุกคามทางเพศ ที่ระบุว่า “เสียงหวานเหมือนภรรยาผมเลย” ไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น

จากนั้นเวลา 09.13 น. นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯใน 3 ข้อกล่าวหาคือ 1.ไม่ปฏิบัติตามที่แถลงนโยบายเร่งด่วนไว้ในรัฐสภา 12 ประการ โดยเฉพาะข้อ 7 สัญญาว่าจะป้องกันและลดผลกระทบเชิงสังคมความปลอดภัยอาชญากรรมทางไซเบอร์ แต่ในทางตรงกันข้ามกลับก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์เสียเอง สร้างวาทกรรมให้คนเกลียดชัง โจมตีผู้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล เห็นประชาชนเป็นศัตรู 2.จงใจใช้งบประมาณแผ่นดิน เวลาราชการ บุคลากรของภาครัฐ สร้างความเกลียดชังโจมตีพรรคการเมืองฝ่ายค้าน นักสิทธิมนุษยชน และประชาชนทั่วไป ไม่สอดคล้องกับพันธกิจของหน่วยงานต่างๆไม่ว่าจะเป็นกรมประชาสัมพันธ์ ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี หรือกองทัพ ทุกเหล่าทัพ 3.มีพฤติกรรมโกหกซ้ำซาก ปฏิเสธว่าไม่เคยมีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ไม่ตอบใดๆ ให้ประชาชนให้รับรู้ ไม่ยอมรับการตรวจสอบการของประชาชน และของสภาผู้แทนราษฎร หรือพูดง่ายๆท่านไม่สนโลกอะไรเลยยังคงทำตัวเป็นหัวหน้าแก๊งยุยงปลุกปั่น เผยแพร่ข่าว เป็นคนชักใยกลไกต่างๆ เพียงเพื่อค้ำยันบัลลังก์อำนาจของตนเอง ตนเชื่อว่านายกฯรู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรลงไป

การอภิปรายช่วงหนึ่ง นายณัฐชาได้นำคลิปการประชุมวีดิโอคอนเฟอร์เรนท์ การสั่งทำไอโอ ของมณฑลทหารบกที่ 21 เมื่อเดือนก.พ. 2563 มาเปิดในสภา ซึ่งนายณัฐชา ระบุว่า การสั่งการในคลิปดังกล่าวเป็นเวลา 4 วันก่อนศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ แต่มีการสั่งการให้เตรียมการรับมือการยุบพรรคอนาคตใหม่อย่างชัดเจน ทำให้เกิดคำถามว่า เหตุใดถึงรู้ก่อน จากหลักฐานที่เปิดออกมานี้ จะสังเกตเห็นได้ว่าในการประชุมดังกล่าวมีความกังวล และย้ำว่าอย่าให้เอกสารจะหลุด โดยเฉพาะเอกสารการเงิน แสดงว่าปฏิบัติการนี้มีการใช้งบประมาณแผ่นดินใช่หรือไม่ และเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีเอกสารฉาวว่าด้วยการทำไอโอ โดยเป็นการเปิดอบรมผ่านหลักสูตรของโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน มีกลไกการทำงานแบ่งทีมเป็นฝ่ายขาว ที่เป็นงานประชาสัมพันธ์ และฝ่ายดำมุ่งโจมตีด้อยค่าฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อหาไม่จงรักภักดี และล้มล้างสถาบัน โดยแบ่งฝ่ายปฏิบัติการออกเป็นหลายกลุ่มทำหน้าที่ต่างกัน นอกจากนั้นยังมีกลไกการสั่งงานอย่างเป็นระบบผ่าน 2 แอพพลิเคชั่นที่ให้เอกชนทำขึ้น คือ Twitter Broadcast และ Free Messenger โดยระดับแกนนำเท่านั้นที่จะใช้ 2 แอพนี้ในการทำงาน ส่วนระดับสนับสนุนใช้ไลน์กลุ่ม โดยในเอกสารระบุหน่วยที่ใช้งาน 2 แอพนี้ ว่า มี ร.2.รอ., ร.11.รอ., ร.21.รอ. และป.2.รอ. และยังมีการระบุเป้าหมายว่าต้องมียอดบัญชีไอโอกว่า 54,800 บัญชีภายใต้การควบคุมดูแลจากหน่วยงานต่างๆ ของกองทัพถึง 19 หน่วยงาน

นายณัฐชา กล่าวอีกว่า เอกสารทั้งหมดที่ตนนำมาอภิปรายนี้ พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก ยืนยันว่าเป็นของจริง ทำเพื่อประชาสัมพันธ์กองทัพ และเป็นการพัฒนาสื่อสารออนไลน์ ตนขอตั้งคำถามว่าการประชาสัมพันธ์ ทำไมมี “ฝ่ายขาว” เพื่อเชิดชู และสรรเสริญ “ฝ่ายดำ” เพื่อโจมตี หากประชาสัมพันธ์แบบนี้คนยิ่งเกลียด และเชื่อว่าประชาชนไม่ยอมหากจะใช้งบประมาณที่มาจากเงินภาษีของประชาชน เพื่อสร้างกระแสปลอมๆ โดยนำขบวนการไอโอ บังคับเหล่าทหารสร้างตัวตนปลอมๆ ปั่นแฮชแท็ก #28ตุลาปกป้องสถาบัน และก็อบปี้ข้อความเดียวกันส่งต่อ เป็นการกระทำที่มิบังควร และบังอาจอย่างยิ่ง จึงถือว่าพล.อ.ประยุทธ์มีพฤติกรรมทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันกับประชาชน นำสถาบันมาแบ่งแยกประชาชน เป็นการกระทำที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท

ส.ส.พรรคก้าวไกลรายนี้ กล่าวอีกว่า เมื่อปลายปีที่แล้ว ทวิตเตอร์ได้ระงับบัญชี 926 บัญชี โดยระบุชัดว่า พบปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับกองทัพบก และยังพบว่ามีการทำไอโอทำในนามโรงเรียนจิตอาสา โดยใช้ทหารในกองทัพ อาทิ ชื่อทวิตเตอร์ “เฮียตือ สนามเป้า” ซึ่งตัวจริงคือ “พ.ท.ธรรม์ มาลัยทอง” สังกัดกองพลทหารม้าที่สองรักษาพระองค์ และมีหลักฐานการสั่งการโดย “พล.ต.จักรชัย ศรีคชา” ผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งกรณีดังกล่าว ถือว่าเป็นการใช้กองทัพแบ่งแยกประชาชน เพื่อสร้างความเกลียดชัง และทำเพื่อประโยชน์ของนายกรัฐมนตรี และพวกพ้อง

นายณัฐชา อภิปรายอีกว่า นอกจากกองทัพ การปฏิบัติการไอโอยังแผ่กิ่งก้านสาขา ใช้บุคลาการของรัฐอีกมากมาย ทั้งกรมประชาสัมพันธ์ อยู่ภายใต้การกำกับของพล.อ.ประยุทธ์ ที่มี พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เป็นอธิบดีฯ ที่นำงบประมาณแผ่นดินผลิตรายการ “คุยถึงแก่น” ที่มีเนื้อหาโจมตีฝ่ายตรงข้าม โจมตีม็อบนักเรียนนักศึกษา โจมตีพรรคฝ่ายค้าน ทั้งที่ผลิตภายใต้งบประมาณแผ่นดินและภายใต้กลไกของรัฐ และอีกหน่วยงานคือศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี ที่ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้อีกแล้ว เพราะเป็นหน่วยงานที่ขึ้นต่อพล.อ.ประยุทธ์โดยตรง พบว่าศูนย์ดังกล่าวมีการทวิตโดยใช้ข้อความในเชิงสร้างความเกลียดชัง ด้อยค่าประชาชน มีถ้อยคำหยาบคาย โจมตีผู้เห็นต่างทางการเมือง หน่วยงานต่างๆเหล่านี้ กลไกทั้งหมด พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ต้องรับผิดชอบ ขอเรียกร้องให้หยุดการกระทำดังกล่าว เพราะพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตนเชื่อว่าคือการปกป้องอำนาจตนเอง ไม่ใช่การปกป้องสถาบันเบื้องสูง

โดยการอภิปรายในช่วงหนึ่ง น.ส.ปารีณาได้ลุกขึ้นประท้วง และระบุว่า “การอภิปรายดังกล่าวเป็นการใส่ร้ายเสียดสี เพราะเท่าที่ฟัง หากในส่วนที่มีการเทิดทูนสถาบันหรือใส่ร้ายกลุ่มม็อบ ก็จะอ้างว่าเป็นไอโอ แต่ถ้าเป็นส่วนที่โจมตีรัฐบาล หรือใส่ร้ายสถาบันก็จะไม่มีการพูดถึงเลย”

“ผมฝากกลอนไปยังนายกฯ ทุกวันนี้ศึกไกลไม่ห่วง แต่หวั่นทรวงทหารไทย ไล่ข่มเหง เป็นไอโอยุแยกแตกกันเอง รั้วของชาติมาข่มเหงประชาชน ฝากให้นายกฯ พิจารณาเพื่อปรับและยุติพฤติกรรม”นายณัฐชากล่าวปิดท้าย

จากนั้น พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ได้ขอใช้สิทธิ์ชี้แจงว่า กระทรวงกลาโหม และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะรมว.กลาโหม ไม่เคยมีนโยบายและไม่เคยสั่งการเรื่องปฏิบัติการที่เรียกว่า “ไอโอ” หรือให้หน่วยงานใด นายทหารคนใดไปกระทำการให้ร้ายใคร ต้องยอมรับว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน ข้อความต่างๆ ในสื่อโซเชียลมีทั้งที่ไม่ถูกต้อง และเป็นความเท็จ มีข้อความที่สร้างความเกลียดชังและความแตกแยก รวมถึงส่งผลกระทบกับสถาบัน ความสงบเรียบร้อยอันดี และความมั่นคงของประเทศ ซึ่งข้อความอย่างนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับข้อกล่าวหาที่ว่าทหารไปให้ร้ายประชาชนนั้น ที่จริง ทหารก็คือประชาชน เวลาที่ทหารกลับไปอยู่ที่้บ้าน ก็เป็นประชาชน

รมช.กลาโหม กล่าวอีกว่า สิ่งที่กองทัพทำนั้น คือการทำอย่างไรให้กำลังพลได้เรียนรู้และเข้าใจถึงการพัฒนาของเทคโนโลยี รวมถึงติดตามเท่าทันสื่อเหล่านั้น มีสติและมีการพิจารณาได้ว่าข้อความต่างๆ ในสื่อโซเชียลมีความถูกต้องหรือเป็นจริงหรือไม่ จะพูดหรือส่งต่ออะไรต้องใช้วิจารณญาน เพราะมีผลกระทบต่อความมั่นคง จึงเป็นที่มาของการจัดการอบรมให้ความรู้กำลังพลได้เข้าใจวิธีการใช้สื่อโซเชียลอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ ทั้งนี้ บัญชีต่างๆ มีการเปิดเผยชัดเจน ไม่ได้ปิด ถ้าบัญชีถูกปิดไว้ ผู้อภิปรายก็คงไม่มีรายชื่อ ดังนั้นสิ่งที่กองทัพทำจึงไม่ได้ทำเพื่อให้ร้ายใคร ทั้งนี้นายณัฐชาโยงไปโยงมากับเรื่องต่างๆ จนดูเหมือนกับว่ามีความเชี่ยวชาญในการทำ มากกว่ากองทัพ และการที่อ้างถึง “ฝ่ายขาว-ฝ่ายดำ-ฝ่ายตรงข้าม” นั้น เป็นลักษณะวิธีการเรียนรู้ ฝึกปฏิบัติการ แต่ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นประชาชน

พล.อ.ชัยชาญ กล่าวว่า สำหรับโครงการจิตอาสาพระราชทานมีการแสดงตัวตนที่ชัดเจน ความประสงค์ของโครงการนี้คือประชาสัมพันธ์ประวัติศาสตร์ สถาบัน โครงการพัฒนา และให้ความรู้ประชาชนว่ากองทัพมีภารกิจใด ส่วนบันทึกภาพและเสียงการประชุมของมณฑลทหารบกที่ 21 ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ซึ่งนายณัฐชานำมาเปิดนั้น ตนก็เพิ่งเห็น และไม่ทราบว่าเกิดขึ้นอย่างไร แต่สิ่งสำคัญคือเราจะทำอย่างไรให้สังคมอยู่ร่วมกันได้ เพราะทหารก็เป็นประชาชน ต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและใช้ข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณ ขณะที่กรณีของสื่อกรมประชาสัมพันธ์ก็เป็นลักษณะประชาสัมพันธ์ผลงานให้ประชาชนได้รับทราบ หากเราไปดูสื่อต่างๆ ก็มีลักษณะเช่นนี้ จึงขอย้ำอีกครั้งว่านายกฯในฐานะรมว.กลาโหม ไม่มีนโยบายหรือสั่งการให้กองทัพหรือหน่วยต่างๆไปใส่ร้ายประชาชน หรือทำให้ประชาชนเกลียดชังกัน แต่ทำให้ประชาชนได้รับทราบผลงานและสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อความสงบเรียบร้อย ไม่เกิดความขัดแย้งในสังคม

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img