“เรืองไกร” เดินหน้ารุกฆาต “พิธา” ปมถือหุ้นสื่อไอทีวี จ่อยื่นหลักฐานเด็ด “ตารางรายชื่อผู้ถือหุ้นปี 49-66” และ “ตารางรายได้รวมของไอทีวี ปี 49-65” เชื่อจะทำให้ “กกต.” ชี้ชะตาเร็วขึ้น ก่อนส่งศาลรธน.เชือด
เมื่อวันที่ 21 พ.ค.66 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัครส.ส.บัญขีรายชื่อ ลำดับที่ 22 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ในวันพุธที่ 24 พ.ค.นี้ เวลา 10.00 น. กกต.ได้เชิญตน ไปให้ถ้อยคำกรณีร้องขอให้ตรวจสอบนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่าเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ แต่ก่อนให้ถ้อยคำในวันดังกล่าว ตนจะถือโอกาสนี้ยื่นเอกสารเพิ่มเติมให้ กกต. ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯของพรรคก้าวไกล ที่ถือหุ้นสื่อ ITV รวม 2 รายการ คือ ตารางรายชื่อผู้ถือหุ้น ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปี 2566 พร้อมเอกสารประกอบ และตารางรายได้รวมของ ITV ตั้งแต่ปี 2549 ถึงปี 2565 พร้อมเอกสารประกอบ (ยกเว้นปี 2555)
นายเรืองไกร กล่าวว่า กรณีที่นายพิธา มีชื่อเป็นหุ้น ITV มาตั้งแต่ปี 2551 นั้น พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 มาตรา 62 วรรคสาม บัญญัติว่า “ทะเบียนผู้ถือหุ้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าถูกต้อง” ทั้งนี้ ITV เคยมีรายได้ปี 2549 ประมาณ 2,158 ล้านบาทเศษ, ปี 2550 ประมาณ 352 ล้านบาทเศษ ซึ่งรายได้ปี 2549 และปี 2550 ส่วนใหญ่เป็นรายได้จากธุรกิจสื่อ แต่ปีต่อๆ มา รายได้ลดลงทุกปีมาจนถึงปัจจุบัน เพราะสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) บอกเลิกสัญญา แต่ ITV ไม่เห็นด้วย จึงมีการฟ้องร้องกันอยู่ในศาลปกครอง ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด โดยสัญาที่ถูกยกเลิกจะครบกำหนดวันที่ 3 ก.ค.68
นายเรืองไกร กล่าวว่า หลักฐานที่จะยื่นเพิ่มเติมในวันพุธที่ 24 พ.ค. น่าจะช่วยทำให้ กกต. พิจารณาได้เร็วขึ้น และน่าจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปว่า นายพิธาเข้าข่ายมีลักษณะต้องห้ามตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) หรือไม่
สำหรับลักษณะต้องห้ามตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 98(3) ระบุว่า ห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ
