“อัยการธนกฤต” แจกแจงข้อกฎหมาย หากศาลลงโทษ “รมต.” จำคุก เเม้คดียังไม่ถึงที่สุด ต้องหลุดจากตำเเหน่ง ส่วน “ส.ส.” ต้องรอจนคดีถึงที่สิ้นสุด หรือศาลสั่งคุมขังระหว่างรออนุญาตให้ประกันตัว
เมื่อวันที่ 24 ก.พ.64 ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล ผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานกระบวนการยุติธรรม สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด โพสต์เฟซบุ๊คให้ความเห็นข้อกฎหมาย กรณีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกกับการสิ้นสุดสถานภาพความเป็น ส.ส. และรัฐมนตรีว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 บัญญัติหลักเกณฑ์การสิ้นสุดสมาชิกภาพของส.ส. และการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ไว้หลายกรณี โดยมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงในเรื่องนี้อยู่ด้วยกันหลายมาตรา ที่น่าสนใจที่จะนำมากล่าวในที่นี้ คือบทบัญญัติในมาตรา 98 (6), มาตรา 101 (6) และ (13) และมาตรา 160 (6) และ (7)
ในกรณีของ ส.ส. หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ถึงแม้จะพิพากษาให้รอการลงโทษ ก็ถือเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลง เว้นแต่ความผิดที่ศาลพิพากษาให้รอการลงโทษนั้น จะเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (13) จึงจะถือเอาเหตุที่ศาลรอการลงโทษดังกล่าวมาเป็นเหตุยกเว้นไม่ทำให้สมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลงไปได้
โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (13) นี้ กำหนดหลักเกณฑ์ของคำพิพากษาของศาลที่จะเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลงไว้ว่า จะต้องเป็นคำพิพากษาของศาลให้ลงโทษจำคุกที่ถึงที่สุดเท่านั้น ดังนั้นหากยังอยู่ในระหว่างกระบวนการอุทธรณ์หรือฎีกาโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลตามกฎหมาย คำพิพากษาของศาลนั้นย่อมยังไม่ถึงที่สุด และยังไม่ถือเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลง
ส่วนกรณีของรัฐมนตรีนั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (7) บัญญัติไว้ว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก โดยไม่คำนึงว่า คดีจะถึงที่สุดหรือไม่ หรือคำพิพากษาที่ให้ลงโทษจำคุกนั้นจะมีการอการลงโทษ เว้นแต่ความผิดที่ศาลพิพากษาให้รอการลงโทษนั้นจะเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และความผิดฐานหมิ่นประมาท
ดังนั้น หากรัฐมนตรีต้องคำพิพากษาของศาลให้ลงโทษจำคุก ถึงแม้ว่าคำพิพากษาจะยังไม่ถึงที่สุด ยังอยู่ในกระบวนการอุทธรณ์ฎีกาตามกฎหมายอยู่ก็ตาม ก็ถือเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 (7) แล้ว ซึ่งจะแตกต่างจากกรณีของ ส.ส. ที่คำพิพากษาของศาลที่จะเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลง ต้องเป็นคำพิพากษาที่ถึงที่สุดเท่านั้น
ส่วนเหตุการสิ้นสุดสถานภาพความเป็น ส.ส. หรือความเป็นรัฐมนตรีในกรณีที่ศาลพิพากษาให้รอการลงโทษและเหตุยกเว้นนั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (13) และ มาตรา 166 (7) บัญญัติไว้เหมือนกัน ดังได้กล่าวไปแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่ทำให้สถานภาพความเป็น ส.ส. และรัฐมนตรีสิ้นสุดลงได้อีกกรณีหนึ่ง คือ หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกแล้ว หากจำเลยที่เป็น ส.ส. หรือรัฐมนตรี ยื่นคำร้องขอประกันตัวหรือขอปล่อยชั่วคราว ก่อนที่จะมีการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษาของศาลต่อไป แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากศาลในทันที ทำให้ต้องถูกคุมขังชั่วคราวตามหมายศาลในระหว่างที่รอคำสั่งศาลว่าจะอนุญาตให้ประกันตัวหรือปล่อยชั่วคราวหรือไม่ กรณีดังกล่าวนี้ก็ถือเป็นเหตุให้สถานภาพความเป็น ส.ส. และรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (6) ประกอบ มาตรา 101 (6) และ มาตรา 160 (6) ด้วยเหตุจากการต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังโดยหมายของศาลเช่นกัน