เงินบาทเปิดตลาด 34.64 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น หลังดอลลาร์อ่อน ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วง นักลงทุนกังวลร่างข้อตกลงเพดานหนี้สภาคองเกรสอาจไม่ราบรื่น-ตัวเลขยอดเปิดรับตำแหน่งงานสูงถึง 4 แสนตำแหน่งทำให้ตลาดกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.64 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.80 บาทต่อดอลลาร์ หลังดอลลาร์อ่อน โดยเมื่าอคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้น ตามโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ในขณะที่เงินดอลลาร์เคลื่อนไหว sideway down หรืออ่อนค่าลงเล็กน้อย โดยโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทแผ่วลงมากขึ้น ทำให้การอ่อนค่าต่อเนื่องของเงินบาทอาจต้องเห็น 1) การแข็งค่าขึ้นชัดเจนของเงินดอลลาร์ ซึ่งก็อาจเกิดพร้อมกับการปรับฐานแรงของราคาทองคำ 2) การอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินหยวนจีน และ 3) แรงขายหุ้นและบอนด์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเราประเมินว่า โอกาสที่จะเห็นเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อชัดเจน เช่น ดัชนีเงินดอลลาร์ DXY กลับไปทดสอบโซน 106 จุด อาจมีไม่มาก หลังการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ในช่วงนี้ก็ได้รับรู้มุมมองการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟดไปมากแล้ว แต่หากตลาดปิดรับความเสี่ยงรุนแรง ก็อาจเห็นเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้บ้าง
ซึ่งแรงกดดันเงินบาทจากเงินดอลลาร์ ก็จะถูกลดทอนด้วยการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในภาวะดังกล่าว ทำให้เรามองว่า แรงกดดันเงินบาทในช่วงนี้จะอยู่ที่ ทิศทางเงินหยวนของจีน และฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยเงินหยวนของจีนมีโอกาสอ่อนค่าต่อได้บ้าง ตามภาพเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวได้แย่กว่าคาด ขณะที่ในส่วนฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ แม้เรายังคงเห็นแรงขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
ทว่า หากความกังวลต่อการพิจารณาร่างข้อตกลงเพดานหนี้ลดลงและทำให้บรรยากาศในตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยง เรามองว่า นักลงทุนต่างชาติก็อาจเริ่มกลับมาซื้อหุ้นไทยได้บ้าง (แต่จะไม่มาก จนกว่าเห็นความชัดเจนของปัจจัยการเมืองไทย) ส่วนฟันด์โฟลว์ในตลาดบอนด์ก็เริ่มมีทิศทางไหลเข้า หลังจากไหลออกอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น เราจึงมองว่า โซนแนวต้านของเงินบาทอาจยังคงอยู่ในช่วง 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ (ประเด็นขยายเพดานหนี้) และการเมืองไทย ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.50-34.80 บาทต่อดอลลาร์
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงโดยดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.61% หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า การพิจารณาร่างข้อตกลงเพดานหนี้โดยสภาคองเกรสอาจไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เนื่องจากผู้แทนฯ จากพรรครีพับลิกันสายอนุรักษ์นิยมบางส่วนอาจโหวตไม่เห็นชอบกับร่างข้อตกลงดังกล่าว นอกจากนี้ รายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ที่ออกมาสูงกว่าคาดไปมากถึง 4 แสนตำแหน่ง ก็ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนกังวลว่า หากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งและตึงตัว เฟดก็มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -1.07% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP -2.9%, Shell -2.7%) ตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หลังรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการล่าสุด ออกมาแย่กว่าคาด ได้กดดันให้ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมต่างปรับตัวลดลง (Kering -2.9%, Hermes -2.6%)
ทางด้านตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า เฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่บรรยากาศในตลาดการเงินที่อยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง กอปรกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา (ปรับตัวขึ้นทดสอบโซน 3.80%) ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.64% ซึ่งเป็นโซนแนวรับในช่วงที่ผ่านมา โดยเราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัวในกรอบ sideway ในช่วง 3.50%-3.80% ก่อนที่จะเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้มขาลงที่ชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง ตามภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะชะลอลงมากขึ้น และเฟดอาจไม่ได้เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยตามที่ตลาดกำลังคาดการณ์อยู่
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานที่ออกมาดีกว่าคาด ก่อนที่จะเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อตัวลงบ้าง โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงทรงตัวแถวระดับ 104.2 จุด สอดคล้องกับมุมมองของเราที่คาดว่า การเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว sideway เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ต่างรอลุ้นการพิจารณาร่างข้อตกลงเพดานหนี้สหรัฐฯ โดยสภาคองเกรส และรอจับตารายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์ ส่วนในฝั่งราคาทองคำ บรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม รวมถึงบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ย่อตัวลงต่อเนื่อง ในขณะที่เงินดอลลาร์ยังคงทรงตัว ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) มีจังหวะรีบาวด์ขึ้นทดสอบระดับ 1,990 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อตัวลงสู่ระดับ 1,983 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำดังกล่าว ก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคม และไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นอย่างใกล้ชิด คือ การพิจารณาร่างข้อตกลงเพดานหนี้สหรัฐฯ โดยสภาคองเกรส ซึ่งทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา ควรมีมติผ่านร่างข้อตกลงดังกล่าว ให้ทันภายในช่วงต้นเดือนมิถุนายน
ทางด้านฝั่งยุโรป ปัจจัยสำคัญ คือ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยตลาดมองว่า ECB อาจจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป CPI ของยูโรโซน เดือนพฤษภาคม ยังคงทรงตัวที่ระดับ 7.00% (อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจอยู่ที่ระดับ 5.6%) โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า ECB มีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ต่อเนื่องจนแตะระดับ 3.75% ได้ในปีนี้ (ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 3.25%)