วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWS“สันธนะ”แค้น“พิธา-ก.ก.”เฉยไม่เอาผิด“ชูวิทย์” มั่นใจหมดสิทธิเป็นนายกฯ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“สันธนะ”แค้น“พิธา-ก.ก.”เฉยไม่เอาผิด“ชูวิทย์” มั่นใจหมดสิทธิเป็นนายกฯ

สันธนะ” แค้น “พิธา-ก้าวไกล” เฉยไม่เอาผิดชูวิทย์ทำร้ายคาที่ทำการพรรค รุดให้ถ้อยคำ “กกต.” เอาผิดทำเลือกตั้งไม่สุจริต-ขัดพ.ร.ป.พรรคการเมือง มั่นใจหมดสิทธิเป็นนายกฯ เหตุสะดุดยอดหญ้าล้มเอง

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.66 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสันธนะ ประยูรรัตน์ สมาชิกพรรคก้าวไกล เข้าให้ถ้อยคำต่อ กกต.ตามหนังสือเชิญจากกรณีเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ได้ยื่นร้องให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ที่ปล่อยให้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรค หรือผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเข้ามาทำร้ายร่างกายตนเองซึ่งเป็นสมาชิกพรรค และให้นายชูวิทย์ ร่วมเวทีปราศรัยหาเสียงโจมตีพรรคการเมืองอื่น ซึ่งอาจเป็นเหตุทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมและขัดมาตรา 22 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง

นายสันธนะ กล่าวว่า ตนกับนายชูวิทย์ มีปัญหาส่วนตัวกันอย่างที่สังคมรับทราบ เมื่อจะมีการเลือกตั้งคนอยากเห็นบ้านเมืองเกิดความเปลี่ยนแปลง จึงมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล แต่ตนกับนายชูวิทย์ก็มีปัญหากันอย่างที่สังคมรับรู้ โดยก่อนการเลือกตั้งนายชูวิทย์ ได้มีการเข้าไปที่พรรคก้าวไกลพูดคุยกับนายพิธา และกรรมการบริหารพรรคหลายครั้ง ซึ่งเมื่อพบเจอตนก็จะเปิดปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกัน โดยนายชูวิทย์ พยายามที่จะเข้าทำร้ายตนมีการขว้างถ้วยใส่ ซึ่งตนก็ได้ทำหนังสือถึงหัวหน้าพรรคเมื่อวันที่ 29 พ.ค. ตามที่ข้อบังคับพรรคกำหนดไว้ เพื่อให้มีการดำเนินการเอาผิดกับนายชูวิทย์ และกรรมการบริหารพรรคบางคนที่รู้เห็นนัดแนะกับนายชูวิทย์ ก่อนที่จะเดินทางมา แต่ปรากฏว่าทางพรรคไม่ได้ดำเนินการใดๆ ขณะเดียวกันก็ยังพบว่าก่อนการเลือกตั้งนายชูวิทย์ มีการนัดพบกับนายพิธา เพื่อช่วยหาเสียงในหลายสถานที่ โดยนายชูวิทย์ได้อาศัยกระแสของพรรคก้าวไกล กล่าวปราศรัยโจมตีพรรคการเมืองอื่นในเรื่องของการร่วมรัฐบาล ซึ่งตนได้มีหนังสือสอบถามมายังกกต. และได้รับการยืนยันว่านายชูวิทย์ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล หรือได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล จึงเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง

“ส่วนตัวเชื่อว่านายพิธา ทราบดีว่า นายชูวิทย์เป็นบุคคลภายนอก ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่ได้เป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรค แต่กลับปล่อยปละละเลย หรือสมยอมให้นายชูวิทย์ มาใช้พื้นที่ มาใช้ของชื่อพรรคก้าวไกลไปปราศรัยโจมตีทำให้พรรคการเมืองอื่นเสียหาย จึงเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ยุ่งยากเป็นความปรากฏต่อสังคมและสื่อ ไม่ต้องไปตรวจสอบหรือรอหลักฐานอื่นๆเหมือนกรณีนายพิธา ถือหุ้นไอทีวี หรือค้ำประกันให้บริษัทครอบครัวกว่า 400 ล้านบาท ขายที่ดินมรดก 6.5 ล้าน ที่ต้องสอบสวนข้อเท็จจริงจนกว่าความจริงจะปรากฎ” นายสันธนะ กล่าว

นายสันธนะ กล่าวต่อว่า ตอนที่เกิดเรื่องแรกๆ และพรรคไม่ได้ดำเนินการให้ตามที่ยื่นหนังสือก็รู้สึกน้อยใจ แต่ก็จะไม่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค และเมื่อพรรคทราบว่ากกต.เรียกตนเข้าให้ถ้อยคำในเรื่องนี้ มีผู้แจ้งตนเรื่องนี้ว่าในช่วงบ่ายนี้พรรคก็จะมีการประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งตนไม่เชื่อว่าพรรคจะมีมติดำเนินการกับนายชูวิทย์ แต่จะเป็นการไล่ตนออกจากการเป็นสมาชิกพรรค

“ถ้าพรรคก้าวไกลมองเรื่องนี้เป็นเรื่องภายใน และก่อนหน้านี้มีการดำเนินการตามที่ผมได้ยื่นหนังสือ ก็คงไม่มีวันนี้ที่ผมมาให้ถ้อยคำกับกกต. ผมเคยบอกคุณแล้วว่าอย่าเดินสะดุดยอดหญ้าหกล้มเอง คุณอาจมองเรื่องนี้เป็นเรื่องรูเข็ม แต่หลังจากวันนี้จะเป็นหลุมอุกกาบาต คุณจะแก้ไขอย่างไร นี่เป็นอีกบทเรียนหนึ่งของคนที่จะก้าวเป็นนายกฯ ของประเทศ ไม่ใช่หัวหน้าพรรคก้าวไกล คุณจะพลาดไม่ได้สักประเด็น และถ้าเรื่องนี้มีผลให้คุณไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ขอแสดงความเสียใจกับกองเชียร์ของพรรคด้วย” นายสันธนะ กล่าวและว่า พรรคก้าวไกลประกาศว่าเป็นพรรคของประชาชน หากได้เป็นรัฐบาลก็จะปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ถามว่าตนเป็นสมาชิกพรรคเหตุเกิดในพื้นที่ของพรรคแต่พรรคกลับปกป้องไม่ได้

นายสันธนะ กล่าวเพิ่มเติมว่า การร้องเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการสร้างราคาให้กับตัวเอง หลังเกิดเรื่องตนไปที่พรรคตนขีดเส้นตัวเองว่าจบกันแล้วกับพรรค เมื่อก่อนเลือกตั้งคุยอะไรกับผม แต่หลังเลือกตั้งพอคิดว่าตัวเองกำอะไรไว้ในมือเหมือนอย่างทุกวันนี้ คุณคิดว่าคุณถือไพ่ดี คนอื่นเขาก็มีของดีไม่แพ้พวกคุณเดี๋ยวก็เห็นเองว่าเป็นอย่างไร แล้วทำไมตนถึงบอกว่า “คุณพิธา คุณไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน”

นายสันธนะ กล่าวถึงกรณีที่มติพรรคเพื่อไทย เดินหน้าต่อรองขอตำแหน่งเก้าอี้ประธานสภาจากพรรคก้าวไกล ซึ่งตามกำหนดแล้วจะมีการประชุมในวันนี้ แต่พรรคก้าวไกลขอเลื่อนการประชุมออกไปไม่มีกำหนด จะเป็นจำนวนเหตุ ความขัดแย้ง ระหว่าง พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ว่า วันนี้ทั้ง 2 พรรคก็แตกแล้ว โดยสิ่งที่จะเห็นในวันโหวตประธานสภา ในทางลับนั่นคือคำตอบซึ่งมาจากวันนี้ที่เกิดจากรอยร้าวแล้ว ส่วนตัวมองว่าเขาพรรคเพื่อไทย ก็มีวุฒิภาวะมากกว่า

ส่วนกรณีพรรคก้าวไกล ที่ประกาศตัวออกมา พร้อมเสนอชื่อนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก ในฐานะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล เป็นประธานสภานั้นนายสันธนะ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่ตั้งแต่แรก เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญทั้งใน รัฐสภาและระดับประเทศ จึงเกิดคำถามตามมาว่าพรรคก้าวไกล จะเล่นอะไรกับประเทศชาติ ซึ่งตนไม่ได้รู้จักกับนายปดิพัทธ์ ที่ถูกเสนอชื่อ แต่ได้ดูโปรไฟล์แล้ว ก็ต้องขอพูดตรงๆ ว่ามืด เพราะคนจะมาอยู่ในตำแหน่งประธานสภา หากนำเสนอใครหรือเอ่ยชื่อมาจะต้องไม่มีข้อครหา และต้องเป็นมีวุฒิภาวะ ไม่ว่าจะถูกนำเสนอมาจากพรรคไหนก็ตาม ส่วนตัวไม่ได้ดูถูกเขาแต่มองว่า นายปดิพัทธ์ ยังไม่เหมาะสมนั่งบัลลังค์ประธานสภา เหมาะสมเพียงตำแหน่งเลขานุการประธานสภาเท่านั้น จึงอยากให้กลับไปทบทวนใหม่อีกครัง.

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img