“สุชาติ”ระบุการจัดตัวผู้สมัคร สส.ของพรรคภูมิใจไทยคืบหน้าเกือบสมบูรณ์ ย้ำการเมืองมีเข้าออกเป็นเรื่องปกติ ขอบคุณพรรครวมไทยสร้างชาติที่เคยเปิดโอกาส พร้อมชูนโยบายรัฐบาลอนุทิน “พูดแล้วทำจริง” เชื่อการเลือกตั้งจะพิสูจน์พรรคที่ประชาชนพึ่งพาได้
เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะแกนนำพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมในการจัดตัวผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ว่า ในบางพื้นที่มีความทับซ้อนของผู้สมัครในบางเขต ทำให้บางคนตัดสินใจไปร่วมงานกับพรรคการเมืองอื่น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของการเมือง
นายสุชาติ กล่าวว่า พื้นที่หลักที่ตนเองรับผิดชอบคือจังหวัดชลบุรี รวมถึงบางเขตในจังหวัดอื่น โดยเพิ่มเติมการดูแลจังหวัดจันทบุรี ทั้ง 3 เขต และจังหวัดตราด 1 เขต รวมแล้วดูแลผู้สมัครเกือบ 20 คน การบริหารจัดการของพรรคเป็นการแบ่งงานตามความถนัดของแกนนำในแต่ละพื้นที่ ผสมผสานกันเหมือนจิ๊กซอว์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
“เราไม่ได้มองว่าใครเป็นก๊วนใคร แต่ดูว่าทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมายมากที่สุด เมื่อการเมืองเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ทุกคนต้องพร้อมลงสนาม ซึ่งวันนี้ผู้สมัครของผมทุกคนพร้อมแล้ว” นายสุชาติ กล่าว
นายสุชาติ ยังกล่าวขอบคุณพรรครวมไทยสร้างชาติที่เคยให้โอกาสในช่วงที่ผ่านมา พร้อมย้ำว่าการย้ายพรรคเป็นเรื่องปกติของการเมือง มีเข้า มีออก ขึ้นอยู่กับความสบายใจและช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยยืนยันว่าไม่มีปัญหากับพรรคเดิม และทุกฝ่ายมีมารยาททางการเมืองต่อกัน
สำหรับกลยุทธ์การเลือกตั้ง นายสุชาติ ระบุว่า พรรคภูมิใจไทยยึดหลัก “พูดแล้วทำ” อย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนจากการทำงานในช่วงที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นโยบายต่าง ๆ เช่น คนละครึ่งพลัส และมาตรการอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลดำเนินการอย่างรวดเร็ว ไม่ลีลา และมุ่งประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก โดยมีคณะรัฐมนตรีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
นายสุชาติ เชื่อว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจะเป็นบทพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า พรรคการเมืองใดพูดแล้วทำได้จริง จับต้องได้ มากกว่าการพูดที่ไม่เกิดผล พร้อมย้ำว่าผู้แทนราษฎรต้องเป็นผู้รับใช้ประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนรับใช้ผู้แทน
เมื่อถามถึงเป้าหมายจำนวน สส. นายสุชาติ กล่าวว่า ทุกพรรคย่อมอยากได้ตัวเลข 200 ที่นั่ง และประเมินว่าพรรคภูมิใจไทยควรคาดหวังอย่างน้อยกว่า 150 ที่นั่ง โดยเปรียบการเมืองเหมือนสายน้ำหลายสายที่ไหลมารวมกันจนกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ พร้อมย้ำว่า การเติบโตทางการเมืองต้องอาศัยการรวมพลัง ไม่ใช่การสร้างขึ้นเพียงลำพัง
