แม้จะถูกคาดหมายว่า ไม่มีโอกาสได้จำนวนสส.มากที่สุด ภายหลังการเลือกตั้งในเดือนก.พ.69 เหมือนในอดีตที่ผ่านมา แต่ “พรรคเพื่อไทย” (พท.) ก็ยังเป็นตัวแปรทางการเมืองที่มีความสำคัญอยู่ดี ยิ่งถ้ากลายเป็นพรรคที่มีสส.มาเป็นลำดับสาม ย่อมมีโอกาสได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลสูง เพราะตามปกติแล้ว พรรคที่ได้เสียงสส.เป็นลำดับหนึ่งและสอง จะไม่จัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน เพราะหากมีปัญหาขัดแย้ง จนถึงขั้นต้องแยกทางกัน อาจทำรัฐบาลมีอันเป็นไปทันที ซึ่งมีการคาดหมายว่า ระหว่าง “ภูมิใจไทย” (ภท.) กับ “ประชาชน” (ปชน.) หากพรรคใดพรรคหนึ่งจะได้เสียงข้างมาก เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งคงไม่มีพรรคการเมืองไหนได้เสียงเกินครึ่ง จำต้องหาเสียงเพิ่ม
ในทางการเมืองพรรคพท. สามารถมาเติมเต็มเสียงของพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคสีน้ำเงินหรือพรรคส้ม เพื่อหวังเข้าร่วมรัฐบาล ทำให้มีอำนาจต่อรองทางการเมือง เพราะการหลุดพันจากอำนาจรัฐ อาจไม่เป็นผลดีกับผู้มากบารมี ที่มีอำนาจเหนือ “พท.” ดังนั้น การจัดกิจกรรม “ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้” เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.68 จึงถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ ท่ามกลางกระแสไหลออกของสมาชิกพรรค ที่ย้ายไปอยู่สังกัดพรรคภท. เพราะเชื่อว่าจะมีลุ้นได้เป็นแกนนำรัฐบาลมากกว่า
และก็เป็นไปตามคาด พรรคพท.ใช้โอกาสนี้ เปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ครบทั้ง 3 คน ซึ่งถือเป็นพรรคที่สองที่เปิดตัวบุคคล ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ผู้นำในการบริหารประเทศ หลังจาก “พรรคปชน.” เปิดไปก่อนหน้านี้แล้ว และเป็นไปตามกระแสข่าวก่อนหน้านี้ โดยประกอบด้วย 1.นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคพท. 2.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผอ.การเลือกตั้งพรรคพท. และ 3.นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์

โดยภายหลังบุคคลทั้งสามได้แสดงวิสัยทัศน์ “นายจุลพันธ์” ได้แถลงกับสื่อมวลชนว่า พรรค พท.ได้มีการรับฟังเสียงสมาชิก ซึ่งจากสถานการณ์ปัจจุบัน ดูจากความต้องการของประชาชน วันนี้เราต้องการคนที่จะมาเป็นนายกฯนำพาประเทศไทยพ้นจากความขัดแย้ง และก้าวไปสู่เศรษฐกิจที่จะนำเทคโนโลยี เอไอ ความรู้สมัยใหม่เข้ามาบวกประสาน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวไปข้างหน้าได้
“บุคคลที่มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ ในนามพรรค พท. คือ นายยศชนัน แต่เพื่อสร้างความชัดเจนให้กับสังคม นายยศชนันคือคนที่เราจะเสนอเป็นนายกฯ เมื่อเราประสบชัยชนะจากการเลือกตั้ง ส่วนอีก 2 คน ไม่ได้มีการเรียงลำดับ แต่มีความพร้อมในการทำงานกรณีที่มีความจำเป็น ดังนั้น ทั้ง 3 คนที่นั่งอยู่ตรงนี้มีความพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน และมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำงานให้กับประเทศไทย” นายจุลพันธ์ กล่าว
ต้องถือว่าเซอร์ไพรส์พอสมควร เพราะก่อนหน้านั้นหลัง “น.ส. แพทองธาร ชินวัตร” ต้องหลุดจากตำแหน่งนายกฯ จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) หลังปรากฏคลิปเสียงสนทนากับ “สมเด็จฮุนเซน” ประธานวุฒิสภา ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในพรรคพท. มีการต่อรองในพรรค โดยแกนนำพรรคพท.บางคน ขอให้บุคคลในตระกูล“ชินวัตร”ลดบทบาทในพรรคลง เพื่อไม่ให้เกิดแรงเสียดทานจากนอกพรรค หากไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว จะพาสส.บางส่วน ย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น ทำให้มีข่าวผู้มากบารมียอมให้ตระกูล“ชินวัตร” ถอยออกมา เพื่อแลกกับแกนนำพรรคคนสำคัญ ไม่พาสส.ย้ายออกจากพรรค รวมทั้งยังมีปัญหาเรื่องเงินทุน ที่ใช้สนับสนุนสส.ในการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งมีข่าวว่า ผู้มากบารมียอมปล่อยเงิน เพื่อช่วยเหลือผู้สมัครสส.ในเบื้องต้น จนทำให้สมาชิกพรรคบางคนพอใจ รวมทั้งแกนนำพรรคคนสำคัญก็คลายความกังวล ไม่ต้องวิตกว่าต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพียงลำพัง และปมดังกล่าวอาจทำให้แกนนำพรรคพท. ยอมถอย ไม่ขัดขวางคนในตระกูล“ชินวัตร” ให้เข้ามามีบทบาทในพรรค
ที่สำคัญแม้ “นายยศชนัน” ซึ่งหลายคนเรียก “อาจารย์เชน” จะเป็นบุตรชาย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือ “เจ๊แดง” ซึ่งเคยได้รับฉายาว่า เป็น “เจ้าแม่วังบัวบาน” แต่ก็เป็นคนรุ่นใหม่เป็นนักวิชาการดีกรีไม่ธรรมดา เคยทำวิจัยด้าน Brain-Computer Interface (BCI) หรือการเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยเหลือคนพิการที่ร่างกายขยับไม่ได้ แต่สมองยังทำงานจากเคส คนที่ประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์มาแล้ว
ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยมหิดล และเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ เคยลงสมัครสส.เขต 3 จ.เชียงใหม่ในการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2557 ในนามพรรคพท. แต่การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ต่อมาในช่วงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐบาลน.ส.แพทองธาร มีข่าวว่า นายยศชนัน จะถูกทาบทามให้ดำรงตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ แต่ได้ปฏิเสธ โดยกล่าวว่ายังไม่คิดรับตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ โดยขอมุ่งเน้นไปกับงานด้านวิชาการ
ก่อนหน้านั้น “นางเยาวภา” ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 68 ถึงกระแสที่ชื่อของนายยศชนัน อาจเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพท.ว่า เป็นเรื่องที่พรรคพท.และตัวเขาเองต้องคุยกัน ลูกชายมีวุฒิภาวะ คิดเองได้ และมีครอบครัวแล้ว จึงไม่สามารถคิดแทนหรือชี้นำได้ หากลูกชายสนใจการเมือง ผู้เป็นพ่อแม่ย่อมพร้อมปฏิเสธการเข้าไปมีบทบาท กำกับทิศทางการเมืองของพรรคพท. โดยวางมือแล้ว
แต่มีคำถามตามมา นางเยาวภาจะวางมือทางการเมืองจริงหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มักมีเสียงวิจารณ์ว่า “เจ๊แดง” เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการคัดเลือกผู้สมัครสส. ในบางพื้นที่ จนทำให้เกิดปัญหา ทั้งที่ จ.ปทุมธานี ทำให้ “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์บริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี (อบจ.) ขัดแย้งกับ “นายทักษิณ” หรือกรณีที่ “นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากพรรคพท. ก็มีข่าว เกิดความไม่รู้สึกไม่พอใจ “นางเยาวภา” เรื่องการจัดคนลงสมัครเลือกตั้งสส.ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และหาก “นายยศชนัน” เป็นแคนเดิเดตนายกฯ มารดาจะยอมวางมือทางการเมืองจริงหรือ หรือถ้า “นายยศชนัน” มีโอกาสได้เป็นนายกฯ การผลักดันโครงการต่าง ๆ ที่ต้องใช้งบประมาณ จะมีคำถามเรื่องความโปร่งใส จะเกิดปัญหาเหมือนโครงการรับจำนำข้าว ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือไม่
ขณะที่เมื่อสื่อมวลชนถามว่า มองอย่างไรกับกรณีที่สังคมตั้งคำถามว่ายังไงก็หนีไม่พ้นตระกูลชินวัตร แม้จะเป็นตระกูลวงศ์สวัสดิ์ แต่ยังถือเป็นเครือญาติกับชินวัตร นายยศชนัน กล่าวว่า เรื่องที่เป็นลูกหลานใคร ตนคิดว่าเป็นเรื่องได้เปรียบ ซึ่งการที่วันนี้เรามุ่งมั่นที่จะทำบางอย่างให้กับคนไทยและทำเรื่องนี้มาโดยตลอด ตนไม่เคยหยุดที่จะทำเรื่องนี้ แต่วันนี้หากเราได้รับโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น ทำไมเราจะไม่รับ และการที่เรามีหลายคน
“เราอาจจะเป็นคนตัวเล็กๆ บนมือของยักษ์ใจดีคนหนึ่ง ที่ผสมระหว่างคนรุ่นเก่ากับใหม่ อย่างพรรคไทยรักไทย (ทรท. ) ผู้มีประสบการณ์ ซึ่งรวมถึงครอบครัวของผมด้วย เราสามารถมองเห็นได้ไกลขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ตนคิดว่าเป็นจุดเด่น ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” นายยศชนัน กล่าว
ต้องถือว่า “นายยศชนัน” ไม่ธรรมดา กับการตอบคำถามที่หลายคนตั้งข้อสงสัย พยายามทำให้จุดอ่อนเป็นจุดแข็ง แต่เมื่อถึงเวลาได้อำนาจจริง ๆ จะมีใครครอบงำหรือมีใครแทรกแซงหรือไม่ ซึ่งต้องรอพิสูจน์

ขณะที่ในระหว่าง “นายยศชนัน” ได้แสดงวิสัยทัศน์ระหว่าง การจัดกิจกรรม “ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้” ตอนหนึ่งว่า ส่วนทิศทางอนาคตประเทศไทยนั้น ถ้าวันนี้เราเลือกทำสิ่งใหม่ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โครงสร้างเทคโนโลยี ใช้ความคิดสร้างสรรค์คนไทย เชื่อว่าอนาคตที่ดีของประเทศไทยเป็นไปได้ ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ พรรคพท.จะนำประเทศไทยพ้นวิกฤตที่กำลังเผชิญไปให้ได้ มีเป้าหมายยกระดับประเทศไทยสู่ประเทศรายได้สูงให้เร็วที่สุด ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเอไอ เป็นแกนหลัก ผ่านยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพเศรษฐกิจเดิมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในส่วนภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรมการผลิต ภาคการบริการ พร้อมไปกับการสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่จากศักยภาพท้องถิ่นผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย ครอบคลุมการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ การผลิตอุตสาหกรรม และสุขภาพและคุณภาพชีวิต
นายยศชนัน กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันบทบาทภาครัฐเองต้องปรับตัว เพื่อรองรับเศรษฐกิจมูลค่าสูง สิ่งรัฐบาลต้องเดินหน้า 3 ด้าน คือ 1.สร้างความมั่นคงรอบด้าน ทั้งการทหาร ความมั่นคงไซเบอร์ ความมั่นคงด้านอาหาร พลังงาน และการรับมือ Climate Change ควบคู่การทูตที่รักษาสมดุลผลประโยชน์ของไทย 2.สร้างความเชื่อมั่นผ่านการฟื้นฟูหลักนิติธรรม คืนความยุติธรรมให้ประชาชน ใช้ Digital Government สร้างความโปร่งใส ป้องกันการคอร์รัปชัน ควบคู่ไปกับ AI Transformation สร้างระบบรัฐแบบ One Stop Service
3.การวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ ตั้งแต่คมนาคม โลจิสติกส์ ความปลอดภัยด้วย AI โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล พลังงานสะอาด สวัสดิการ การศึกษา วิจัย และนวัตกรรม รองรับเศรษฐกิจใหม่และยกระดับเศรษฐกิจเดิม ให้ความสำคัญการเตรียมคนให้สอดรับการวางโครงสร้างรากฐานเศรษฐกิจใหม่ คนไทยทุกคนต้องได้รับโอกาสเติบโตที่เท่ากัน จะเกิดที่ไหนในแผ่นดินไทยก็เป็นคนไทย ต้องได้รับโอกาสเท่ากัน ไม่ได้ทำเพื่อพรรคการเมืองใด แต่ทำเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง มีหัวใจอยู่ที่ประชาชน
“การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การเดินทางของพรรคพท.แต่เป็นการเดินทางให้เรากลับมาช่วยสร้างประเทศขึ้นใหม่อีกครั้ง วันนี้ทุกคนจากพรรคทรท.ที่ไม่ได้รับความยุติธรรม ทุกคนกลับมาที่บ้านของพวกเรา บวกกับคนรุ่นใหม่พรรคพท.มารวมกัน มั่นใจว่า เราทำได้ เริ่มจากวันนี้ เวลานี้ วินาทีนี้ ยกเครื่องประเทศไทย ถ้าพท.ทำได้ ประเทศไทยก็ทำได้แน่นอน” นายยศชนันกล่าว

ต้องยอมรับหลังจากพรรคพท.ล้มเหลว จากการเป็นรัฐบาล ทั้งในยุค “นายเศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกฯ ต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงยุค “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นอกจากนโยบายเรือธงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 หมื่นบาท จะไม่สามารถผลักดันได้สำเร็จ ปมคลิปเสียงสนทนากับผู้มีอำนาจสูงสุดในกัมพูชา ยังเป็นจุดเริ่มทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ความน่าเชื่อถือของอดีตพรรคแกนนำรัฐบาลลดลงไปพอสมควร จนหลายวิจารณ์ว่า บารมีและความน่าเชื่อถือของ “นายทักษิณ” หมดมนต์ขลังไปแล้ว ยิ่งอดีตนายกฯ ยังถูกจองจำในเรือนจำ ยังชนักติดหลังในคดีมาตรา 112 และยังถูกศาลฎีกายังให้จ่ายภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ ประมาณ 17,000 ล้านบาท
ต้องรอดูทายาท “เจ๊แดง” จะกู้ศรัทธาและสร้างความน่าเชื่อถือให้ “พรรคพท.” กลับคืนมาได้หรือไม่ แม้จะมีความรู้ โปรไฟล์ดี แต่อดีตที่ผ่านมาเวลาใครเข้ามารับหน้าที่นายกฯ มักมีบรรดา“วีไอพี” ที่ถูกขนานว่า“รหัสวีต่าง ๆ” เข้ามาแทรกแซงและชี้นำในการบริหารประเทศ ถ้ายังมีปัญหาซ้ำรอยเดิมบางที อาจจะถึงเวลาต้องปิดฉาก “ตระกูลชินวัตร” หลังมีบทบาทในการเมืองไทยกว่า 20 ปี
…………………………………
คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก
โดย…“แมวสีขาว”



















