กลิ่นควันหลง จากคดี “จีนเทา” ที่อดีตเจ้าพ่ออ่างอย่าง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ออกมาแฉความไม่ชอบมาพากลอย่างต่อเนื่อง นานนับเดือน จนกระทั่งมีการจับหัวโจกใหญ่ อย่าง “ตู้ห่าว” เข้าคุก ยังไม่ทันจางหายจากสังคมไทย
จีนเทาอย่าง “ตู้ห่าว” เป็นอาชญากรในเชิงเศรษฐกิจ ที่ใช้ “นอมินี” เข้ามาทำธุรกิจในเมืองไทย เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีน ตามโมเดล “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่คนไทยได้แต่ทำตาปริบๆ
เพราะ “ตู้ห่าว” มีทั้งธุรกิจไล่เรียงตั้งแต่ภูเก็ต มาพัทยา จนมาถึงสมุทรปราการ และโรงแรมหรู 5 ดาว ย่านลาดกระบัง ที่เรียกได้ว่า “ครบวงจร”
กระทั่ง ความเหิมเกริมของ “ตู้ห่าว” จบลง ด้วยการถูกทลายผับอัพยา ที่เขาถูกโยงใยว่าเป็นเจ้าของ เปิดมารองรับเฉพาะคนจีนบางกลุ่มเท่านั้น
กลิ่นควันของจีนเทา จางหายไปได้ไม่นาน คดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญรอบใหม่ ยิ่งตอกย้ำคำกระแนะกระแหน ว่า “เมืองไทย คือดินแดนสวรรค์ของอาชญากร”
ชาวเมืองพัทยา ต้องอกสั่นขวัญแขวนอีกรอบ กับข่าว ฆ่าหั่นศพ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวเยอรมัน คือ “ฮานส์ ปีเตอร์”
ฮานส์ หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม พร้อมกับรถเบนซ์คู่ใจของเขา จนกระทั่งครอบครัว ออกมาแจ้งความ และประกาศให้เงินถึง 3 ล้านบาท กับผู้แจ้งเบาะแสว่าเขาอยู่ที่ไหน
สุดท้าย ฮานส์ถูกพบเป็นชิ้นส่วนศพ ที่คนร้ายฆ่าชำแหละ แล้วแช่ไว้ในตู้แช่แข็งอย่างเหี้ยมโหด ด้วยฝีมือเพื่อนร่วมชาติ
“เพตรา” สาวใหญ่เยอรมัน ที่ถูกตำรวจเปิดเกมจับได้เป็นคนแรก เธอคือนกต่อ ที่ล่อลวงเหยื่อมาให้คุยธุรกิจ อ้างว่ามีคนอยากขอซื้อสนามมวยต่อจากเขา
เพตรา ล่อลวงฮานส์ ไปให้ “โอลอฟ” มาเฟียรุ่นใหญ่ ที่เชื่อมโยงกับแก๊งสิงห์มอเตอร์ไซค์ “เอาท์ลอว์” ไปฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม
ร่วมกับอีกหนึ่งผู้ต้องหาลูกครึ่งปากีสถาน-ไทย คือ “คารีม” ทำหน้าที่หาตู้แช่แข็งไปอำพรางศพ
นอกจากนี้ ตำรวจยังขยายผลจับกุม “นิโคล” สาวเยอรมันอีกหนึ่งคน ที่เปิดบ้านเช่าหรู ให้นำตู้แช่แข็ง มาตั้งทิ้งไว้อำพรางคดี
พฤติกรรมอำมหิตของคนร้ายกลุ่มนี้ แพทย์นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ยืนยันเบื้องต้นแล้วว่า มีการ “แช่แข็ง” ร่างของเหยื่อ ก่อนใช้เลื่อยไฟฟ้า หั่นศพเป็น 11 ท่อน
เจตนาเพื่อไม่ให้เหลือวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ เช่น เลือดปริมาณมาก ที่จะไหลออกมา
ส่วนปมเหตุคดีนี้ ไม่มีอะไรซับซ้อน มากกว่า “ความโลภ” ที่ “โอลอฟ” ต้องการรีดเอาเงินจากเหยื่อ ที่มาทำธุรกิจในพัทยา
เงิน 2 ล้านบาทเศษ ที่โอลอฟรีดมาได้ จ่ายให้เพตรา เป็นค่าล่อลวงเหยื่อมา 8 แสนบาท อีกล้านบาทเศษ เขาบังคับให้เหยื่อ โอนเข้าบัญชีชาวต่างชาติไว้อีกคนหนึ่ง ก่อนถูกจับตัวได้ยกแก๊ง
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะที่เคยคุมสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ขึงขังอีกครั้งว่า หลังจากนี้ ต้องไม่มีกลุ่มต่างชาติที่ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล อยู่ในประเทศไทยอีก
ยกตัวอย่างเช่น “โอลอฟ” ที่เคยถูกดำเนินคดียาเสพติด แต่กลับยังอยู่ในไทยได้อย่างหน้าชื่นตาบาน กระทั่งมาก่อเหตุอาชญากรรมสะเทือนขวัญขึ้น
“บิ๊กโจ๊ก” สั่งการขันนอตตำรวจในพื้นที่ท่องเที่ยว ทั้งชลบุรี เกาะสมุย ภูเก็ต ให้สแกนหาอาชญากร ที่อาจแฝงตัวเข้ามาในคราบนักท่องเที่ยว ให้หมดไป ใครมีประวัติทำผิด ให้รีบเพิกถอนวีซ่า ผลักดันออกนอกประเทศในทันที
แน่นอนว่า ประเทศไทย มีอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่สร้างรายได้หลักเข้าประเทศปีละหลายแสนล้านบาท เลยต้องอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวให้เต็มที่ โดยเฉพาะด่านหน้าอย่างสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
แต่ เหรียญอีกด้าน การอำนวยความสะดวกเกินความจำเป็นเหล่านี้ อาจเอื้อให้อาชญากรต่างชาติ แฝงตัวเข้ามาในคราบนักท่องเที่ยว แล้วฝังตัวในเมืองไทย เหมือนกรณีของ “ตู้ห่าว” และ “โอลอฟ”
แน่นอนว่าผู้ต้องหา 2 คนนี้ ไม่ใช่กลุ่มอาชญากรกลุ่มสุดท้าย ที่แฝงตัวมาในคราบนักท่องเที่ยว เข้ามาอาศัยในประเทศไทย
ท้ายสุดแล้ว จุดพอดีจะอยู่ตรงส่วนไหน ที่ภาครัฐจะมีมาตรการป้องกัน ตรวจสอบไม่ให้อาชญากรข้ามชาติเหล่านี้ แฝงตัวเข้ามา
จนทำให้เมืองไทย ถูกค่อนขอดว่า เป็นดินแดนสวรรค์ ของบรรดาเหล่าอาชญากรข้ามชาติ
………………………
รายงานพิเศษ : ฟ้าคำราม