การเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลของ “พรรคเพื่อไทย” ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว หลัง “พรรคก้าวไกล” ถอยให้อย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา
เพราะตลอดทั้งวันเสาร์ที่ 22 ก.ค. หลัง “เพื่อไทย” ส่งเทียบเชิญ แกนนำสามพรรคการเมืองคือ “ภูมิใจไทย-ชาติพัฒนากล้า-รวมไทยสร้างชาติ” มาร่วมหารือการจัดตั้งรัฐบาล ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย จนทำให้ถนนเพชรบุรี คึกคักอย่างยิ่ง ชนิดหัวบันไดไม่แห้ง
และทำให้คนทั้งประเทศ ได้เห็นฉากการเมืองที่หลายคนคงไม่นึกว่าจะได้เห็น กับการที่คนซึ่งเคยต่อสู้ห้ำหั่นกันทางการเมืองมายาวนาน ทั้งในสภาฯและในการเลือกตั้ง กับพรรคเพื่อไทย ตบเท้าเดินเข้าพรรคเพื่อไทย เพื่อหวังร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย ภายใต้สูตร “ถีบก้าวไกล” ออกไปเป็นฝ่ายค้าน
เพียงแต่วิธีการของ “ทักษิณ ชินวัตร-เพื่อไทย” ก็ต้องทำอย่างไม่แสดงให้เห็นว่า “ถีบหัวส่งก้าวไกล” จนกลายเป็น “ผู้ร้ายทางการเมือง” ในสายตากลุ่มแฟนคลับ ทั้งแฟนคลับเพื่อไทยและด้อมส้ม ที่หวังให้เพื่อไทยจับมือตั้งรัฐบาลกับก้าวไกล มากกว่าที่จะจับมือกับพรรคการเมืองสายรัฐบาลปัจจุบัน
เลยทำให้ “เพื่อไทย” พยายามใช้วิธีเดินเกม แบบค่อยๆ บีบ-กดดัน “ก้าวไกล” เพื่อหวังให้ถอนตัวออกไปเอง ก่อนวันโหวตเลือกนายกฯ วันที่ 27 ก.ค. แต่ทว่า ดูเหมือน “ก้าวไกล” นาทีนี้ เมื่อไม่มีอะไรจะเสีย ถ้าจะโดนถีบไปเป็นฝ่ายค้านจริง ก็ต้องทำให้ “เพื่อไทย” แลดูเป็น “ผู้ร้ายทางการเมือง” มากที่สุด เลยพยายามจะกอดขา “เพื่อไทย” ให้แน่นที่สุด ชนิดไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เหมือนกับหวังให้ “เพื่อไทย” ประกาศออกมาเองว่า “ไม่เอาก้าวไกลแล้ว”
ก็อย่างที่แกนนำก้าวไกลบางคนบอก แบบไม่อาย…“สู้กับคนหน้าด้าน ก็ต้องหน้าด้านกว่า”
ถึงตรงนี้ ก็อยู่ที่ “เพื่อไทย” แล้วว่า จะเลือกจังหวะการเดิมเกมการเมืองอย่างไร เพื่อสลัด “ก้าวไกล” ออกไป
เพราะ “เพื่อไทย” ก็ต้องการให้การโหวตนายกฯจบในวันที่ 27 ก.ค.นี้เลย ซึ่งหากยังมี “ก้าวไกล” อยู่ ก็เสี่ยงที่แคนดิเดตนายกฯของเพื่อไทย ที่ถึงตอนนี้ เต็งหนึ่งยังเป็นชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” อาจจะได้เสียงไม่ถึง 375 เสียง
เพราะท่าทีของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ไปคุยกับเพื่อไทย ก็ระบุชัดว่า “หากยังมีก้าวไกลที่มีนโยบายแก้ 112 อยู่ด้วย ก็ไม่สามารถมาร่วมงานการเมืองได้”
อย่างเช่นคำแถลงอย่างเป็นทางการของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ตั้งโต๊ะร่วมแถลงกับ แกนนำพรรคภูมิใจไทยและเพื่อไทย หลังการหารือกับแกนนำเพื่อไทยเสร็จสิ้นลง
“อนุทิน” ก็ประกาศชัด หากยังมีก้าวไกลที่มีนโยบายแก้ไข มาตรา 112 อยู่ “ภูมิใจไทย” ก็ไม่สามารถมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยเพื่อจัดตั้งรัฐบาลได้
นั่นหมายถึง ในการโหวตนายกฯวันที่ 27 ก.ค. ส.ส.ภูมิใจไทย 71 คน ก็ไม่สามารถโหวตเห็นชอบ แคนดิเดตนายกฯจากเพื่อไทยได้ เพียงแต่ดีกรี อาจจะลดลงจากตอนโหวต “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ที่ส.ส.ภูมิใจไทย โหวตไม่เห็นชอบ ก็อาจเปลี่ยนเป็น “งดออกเสียง”
เมื่อ “อนุทิน” ประกาศชัดถ้อยชัดคำแบบนี้ ก็ทำให้ “เพื่อไทย” ก็สามารถเอาเรื่องนี้ ไปแจ้งกับที่ประชุมแกนนำ 8 พรรคจัดตั้งรัฐบาลในสัปดาห์นี้ได้ ที่มันก็คือ การกดดัน “ก้าวไกล” ไปในตัวนั่นเอง
ยิ่งหากใครได้เห็นภาพการพูดคุย ชนแก้วกาแฟ กันระหว่างแกนนำเพื่อไทยกับภูมิใจไทย เมื่อ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ก็ต้องบอกตรงกันว่า แกนนำ 2 พรรคนี้ “จูบปาก-เดิมเกม” ด้วยกันแล้ว เพื่อตั้งรัฐบาลโดยไม่มี “ก้าวไกล” อยู่ด้วย
ขณะที่การพูดคุยกันระหว่าง แกนนำเพื่อไทยกับแกนนำพรรคชาติพัฒนากล้า ที่นำโดย “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้าตัวจริง ที่เป็นพรรคการเมืองคิวต่อมาที่ไปคุยกับแกนนำเพื่อไทย หลังการคุยกับ ภูมิใจไทย ที่แม้จะมีแค่สองเสียงในสภาฯ แต่ชั่วโมงนี้ ทุกเสียงในการโหวตมีความหมายอย่างยิ่งสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล
“สุวัจน์” ระบุว่า พรรคชาติพัฒนากล้ามีมติพรรคในการร่วมจัดตั้งรัฐบาล 4 เรื่องคือ 1.สนับสนุนให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างมาก ไม่เอารัฐบาลเสียงข้างน้อย 2.จะสนับสนุนที่ได้เสียงอันดับหนึ่งในการจัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็ให้เป็นพรรคอันดับสอง เพื่อเป็นการทำตามเสียงประชาชน และ 3.ต้องการเร่งรัดแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องที่ 4 คือ มาตรา 112
“ชาติพัฒนากล้ามีจุดยืนและอุดมการณ์พรรคเรื่อง 112 คือเราขอคงไว้ และไม่ให้มีการแก้ไขมาตรา 112 แต่อย่างใด ทางพรรคต้องการรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน เมื่อประชุมรัฐสภาสองครั้งแต่ไม่สามารถมีนายกฯได้ จนต้องเปลี่ยนการจัดตั้งรัฐบาลจากก้าวไกลมาเป็นพรรคเพื่อไทย เรื่องมาตรา 112 ที่ก้าวไกลจะให้แก้ไข ไม่ตรงกับแนวทางของชาติพัฒนากล้า
ดังนั้น ชาติพัฒนากล้า ได้คุยกับแกนนำพรรคเพื่อไทยแล้ว เรามีมติพรรคว่า พร้อมเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่มีเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สำหรับนโยบายแก้ 112 ของก้าวไกล หากพรรคก้าวไกลยังคงเรื่องแก้ไข 112 อยู่ ก็คงไม่สอดคล้องกับมติพรรคชาติพัฒนากล้า ทางชาติพัฒนากล้าก็ไม่สามารถร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับเพื่อไทยได้”
ส่วนพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ “เพื่อไทย” ส่งเทียบเชิญ มาร่วมหารือการจัดตั้งรัฐบาล ก็คงมาลักษณะเดียวกันหมด ซึ่งทั้งหมดเชื่อได้ว่า เป็นการตกลงพูดคุยกันไว้หมดก่อนแล้ว ที่จะมีการไปร่วมหารือและแถลงข่าวที่เพื่อไทย เพื่อสร้างเงื่อนไขให้ “ก้าวไกล” หากอยากร่วมรัฐบาล ก็ต้องประกาศ “ไม่แตะ-ไม่แก้ 112” ซึ่งหาก “ก้าวไกล” ประกาศก็จะเสียทางการเมืองอย่างหนัก จะโดนด่าว่า “ละทิ้งแนวทาง-จุดยืนพรรค” เพียงเพราะอยากเป็นรัฐบาลจนตัวสั่น
สิ่งที่จะตามมาคือ กลายเป็นพรรคที่ไม่มีจุดยืน แฟนคลับ เอฟซี ของพรรค ก็จะผิดหวัง เสียหายทางการเมืองหนัก เพราะเป็นการยอมในช่วงโค้งสุดท้าย เพื่อหวังเป็นรัฐบาล ทั้งที่ประกาศมาตลอดว่า จะเดินหน้าแก้ไข 112 ซึ่งแกนนำพรรคก้าวไกล ก็ย่อมรู้ดีว่า ถ้าประกาศแบบนั้น ยอมลดเพดานลงมา ก็เสียเครดิตทางการเมือง จะไปเข้าทางพรรคเพื่อไทยในระยะยาว เพราะทำให้แฟนคลับก้าวไกลผิดหวัง แล้วจะหันกลับมาที่เพื่อไทย
การเดินเกมตั้งรัฐบาลของ “เพื่อไทย” จึงเห็นชัดว่า “ไม่ธรรมดา” กับการที่ไปเรียก “แกนนำพรรคการเมืองต่างๆ” มาคุยกันที่พรรคเพื่อไทยได้
ซึ่งจุดนี้ “ก้าวไกล” ทำไม่ได้ เพราะ “บารมีไม่ถึง-คอนเน็กชั่นไม่มี-ไม่ค่อยมีเพื่อนต่างพรรค-มีแต่ศัตรู” และการที่แกนนำแต่ละพรรคมาคุยที่เพื่อไทย ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะมาได้ง่ายๆ เพราะหากมาแล้ว ต่อมาหลังจากนี้ ไม่ได้ร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย ก็เสียหน้า ดังนั้นที่แต่ละพรรคมาคุยกับเพื่อไทย แสดงว่า ต้องมีการตกลงให้คำมั่นสัญญาอะไรกันไว้แล้วในการตั้งรัฐบาล ทำให้แต่ละพรรคถึงยอมเดินทางไปที่พรรคเพื่อไทย
เห็นแบบนี้ “แกนนำก้าวไกล” ถ้าไม่โลกสวย หรือทำตีมึน ก็ย่อมรู้ดีว่า “เพื่อไทย” กำลังทำอะไรอยู่ จึงเชื่อได้ว่า แกนนำก้าวไกลหลายคน คงเริ่มทำใจ และรู้ตัวแล้วว่า คงต้องเปลี่ยนสถานะการเมืองตัวเอง จากพรรคแกนนำรัฐบาล ไปเป็น “แกนนำพรรคฝ่ายค้าน” !
…………………………………
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสื้ยว”