“จตุพร” สงสาร “ทักษิณ” เลื่อนกลับไทย ถามเป็นอะไรหรือเปล่า คาดคงลำบากใจ จิตยังยุ่งเหยิงรับไม่ได้ต้องมาติดคุก เย้ย เพื่อไทยหมดสภาพ อยู่ในช่วงตกต่ำสุดขีด สูญสิ้นอำนาจต่อรอง ถูกไล่ต้อนให้เป็น “พรรคสมุน”ของพรรคอันดับสามและนายกฯ อาจมาจากพรรคอันดับสี่
เมื่อวันที่ 6 ส.ค.นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ดูท่า..ว่าจะ?” โดยกล่าวว่า ทักษิณ ชินวัตร ไม่ควรประกาศซ้ำสองกรณีเลื่อนกลับไทยอีก 2 สัปดาห์ เพราะฟังดูยิ่งน่าเห็นใจ เป็นห่วง ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ดังนั้น ให้คิดปล่อยจิตว่าง ทำตามที่สบายใจ จะกลับมาวันไหนก็ติดคุกอยู่ดี
นายจตุพร กล่าวว่า การไม่กลับไทยตามเวลานัด 10 ส.ค.ของทักษิณ เป็นไปตามที่ตนประเมินไว้ทุกประการ อีกทั้งได้แนะเหตุผลให้อ้างป่วยก็ตรงและยังทำตาม ส่วนการเลื่อนกลับไทยไปอีก 2 สัปดาห์ ยังต้องฟังหูไว้หู เพราะแม้มนุษย์เราไม่มีใครอยากผิดคำพูด แต่แสดงถึงใจยังไม่ปล่อยวางกับการตัดสินใจมาติดคุกโดยดุษฎี จึงได้แต่ฟังคำพูดคนอื่น ทั้งที่ทางปฎิบัติแล้วไม่เคยมีอยู่จริงที่ไม่ต้องติดคุก
นายจตุพร กล่าวว่า ความจริงคนระดับอดีตนายกฯแล้ว ทักษิณไม่จำเป็นต้องประกาศกลับบ้านเป็นครั้งที่สอง เพราะขาดความน่าเชื่อถือ เมื่อประกาศครั้งเดียวก็ให้มาเลย อย่างไรก็ตาม ขอให้ตัดใจปล่อยวางการติดคุกให้ได้ ตนเสนอให้เอาตามสบายใจ จะมาวันไหนก็มา แต่ต้องติดคุกอยู่ดี
นายจตุพร กล่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ทักษิณระบุจะกลับไทยในวันใดวันหนึ่งนั้น โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 10-24 ส.ค.ซึ่งเป็นช่วงการเจรจาลับตั้งรัฐบาลอย่างเข้มข้น และต้องยกมือไหว้ สว.ในทางแจ้งเพื่อให้ช่วยตั้งรัฐบาลข้ามขั้วอีก จึงเป็นสถานการณ์ที่ชุลมุนในทางการเมืองอย่างหนัก รวมทั้ง คาดว่า สถานการณ์จริงทางการเมืองไทยจะเริ่มในวันที่ 16 ส.ค. ซึ่งศาล รธน. นัดสั่งคำร้องข้อบังคับการประชุมรัฐสภาขัด รธน.หรือไม่ ดังนั้น 17 ส.ค.จะโหวตนายกฯ เมื่อได้นายกฯ จะมีเวลาตั้งรัฐบาลอีกเพียง 7 วัน และทักษิณจะกลับไทยตามคำประกาศครั้งสอง จึงเป็นไปไม่ได้เพราะกระชั้นชิดมาก และคงต้องเลื่อนอีกครั้งค่อนข้างแน่นอน
“ขอแนะนำอีกว่า หลังจากตรวจร่างกายตามแพทย์บอกแล้ว หมอต้องสั่งห้ามเดินทางเด็ดขาด อีกทั้งระยะเวลาทางการเมืองและการตั้งรัฐบาลยังไม่สอดคล้องกัน จึงเป็นไปไม่ได้จะกลับมาช่วงนั้น เพราะเป็นช่วงชุลมุนตามข้อตกลงตั้งรัฐบาล แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ การโหวตนายกฯ นายเศรษฐา ทวีสิน คงไม่ได้เป็นนายกฯ”
นอกจากนี้ นายจตุพร กล่าวถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ว่า เคยยืนกรานทักษิณกลับไทยตามวันเวลาเดิม แล้วเมื่อเลื่อนกลับ จะมีการทวงหาคำพูดจากนายภูมิธรรมบ้างหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญในช่วงนี้คำพูดทางการเมืองแสดงถึงการพูดไม่จริงระหว่างกันทั้งสิ้น โดยหลายคนอธิบายเหตุผลทักษิณกลับไทยต้องเชื่อว่าเป็นจริง เพราะอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวเป็นคนประกาศด้วยตัวเอง ดังนั้น ทักษิณ คงไม่ยอมทำให้ลูกเสียหายได้ ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผิดที่สุด
“ถ้าลูกรู้ว่า พ่อเข้ามาแล้วติดคุก จะมีลูกคนไหนบอกพ่อให้กลับมาเพื่อช่วยรักษาหน้าตาของลูก ซึ่งในโลกความจริงไม่มีลูกคนไหนยอมให้พ่อมาติดคุกหรอก เพราะพ่อติดคุกเท่ากับครอบครัวต้องติดคุกไปด้วย ดังนั้น สัญชาตญาณของลูก ที่รักพ่อย่อมทนเห็นพ่อติดคุกไม่ได้”
นายจตุพร ยังระบุว่า ตนไม่เข้าใจทักษิณ พูดเลื่อนกลับไทยอีกทำไม ถ้าไม่ติดใจอะไรแล้ว จะกลับก็มาเลย แต่การประกาศแบบปลายเปิดลักษณะนี้มันน่าสงสารว่า เป็นอะไรมากหรือเปล่า เพราะช่วงเวลาทางการเมืองนั้นมันเป็นเรื่องยากที่สุด ควรต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งเสีย เนื่องจากการขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายเป็นเรื่องยากมาก
นายจตุพร กล่าวถึงการตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยว่า จากนี้ไปอำนาจต่อรองของเพื่อไทยได้สูญหายไปตามลำดับ และประชาชนที่สนับสนุนจะหดหายไป คงเหลืออีกไม่สักเท่าไร นอกจากนี้แกนนำบางคนให้เหตุผลการตั้งรัฐบาลข้ามขั้วว่า เราไม่ได้ข้ามขั้ว แต่เขาข้ามมาหาเราเอง แสดงถึงการจนปัญญา หมดหนทางอธิบาย เพราะแถมาทุกทิศทางแล้ว จนสีข้างถลอกหมดจึงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
นายจตุพร ยังประเมินว่า หากเพื่อไทยตั้งรัฐบาลไม่ได้ คงเกิดจากเงื่อนไขไม่มีพรรคสองลุงมาร่วมด้วย ดังนั้น การโหวตนายกฯ ก็จะถูกคว่ำทันที่ อีกรณีหนึ่ง เพื่อไทยอาจไม่ส่งแคนิเดตนายกฯ ให้สภาโหวต แล้วมอบให้พรรคอันดับสามเป็นผู้รวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลและเสนอแคนดิเดตนายกฯ ให้สภาโหวตเห็นชอบ
“การให้พรรคอันดับสามมาจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไทยจะกลายเป็นพรรคถูกชวนเข้าร่วมด้วย แต่พรรคที่สามอาจส่งมอบนายกฯ ให้พรรคอันดับสี่ก็ได้ ซึ่งพร้อมรออยู่ ดังนั้น ไม่ว่าอธิบายมุมใดที่เพื่อไทยถูกเชิญมาร่วมรัฐบาลนั้น ก็จะกลายเป็นเพียงพรรคสมุนของพรรคอันดับสามและสี่ไปทันที”นายจตุพร กล่าว
ส่วนกรณีนายเศรษฐา ถูกตรวจสอบกรณีเลี่ยงภาษีที่ดินว่า เมื่อการกล่าวหามีน้ำหนักทางการเมือง โดยเน้นการตรวจสอบคุณสมบัติทางจริยธรรมของบุคคลจะเข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองต้องมีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ ดังนั้น ในกรณีนายเศรษฐา จึงเสี่ยงกับตำแหน่งนายกฯ เพราะมีแต่เสียกับเสีย และพร้อมเกิดแรงเหวี่ยงกระทบกับชีวิตในอนาคตด้วย
“เผลอๆ ไม่กี่วันนี้ คุณเศรษฐา อาจคิดโยนผ้าไม่เป็นนายกฯ หรือจะมีคนอื่นจัดการไม่ส่งก็ได้ เพราะกรณีตรวจสอบจริยธรรมการเลี่ยงภาษีที่ดินจะส่งผลกระทบในวงกว้างมาก ดังนั้น ถัดจากนี้ไป คุณเศรษฐา คงต้องกำหนดท่าทีและจุดยืนทางการเมืองว่า จะเอาอย่างไร”นายจตุพร กล่าวและว่า การโหวตนายกฯ อาจต้องขยายเวลาออกไปอีก แต่จะออกแบบกันอย่างไรก็จะนำพาสู่วิกฤตใหญ่ เพราะการอธิบายอะไรก็ตามทำให้ผิดเป็นถูก ย่อมเป็นตรรกะที่ยากมากที่สุด เช่น การอธิบายว่า ไม่ได้ข้ามไปหาเขา แต่เขาข้ามมาหาเอง ซึ่งเป็นตรรกะที่วิบัติอย่างยิ่ง
นายจตุพร ระบุว่า การใช้ตรรกะ “เขามาเอง” มาอธิบายการข้ามขั้วนั้น ไม่แตกต่างจากคำพูดหาเสียงประกาศแก้ ม.112 (เหมือนกับพรรคก้าวไกล) แต่เมื่อจะตั้งรัฐบาลก็บอกไม่แก้แล้ว ม.112 แล้วเหลือแยกทางจากก้าวไกล คิดจะไปตั้งรัฐบาลแบบหมูๆ แต่กลับไม่ง่ายตามหวังหลังจากแยกทางก้าวไกล เพราะอำนาจต่อรองเปลี่ยนไป การเจรจาตกเป็นรองพรรคอื่น และที่สำคัญทำให้ประชาชนเสียไปด้วย
“ดังนั้น อะไรก็ตามที่ท้าทายความรู้สึกคน เอาการร่วมเป็นร่วมตายมาละเลงเล่นดูเสมือนประชาชนไม่มีความรู้สึก คิดว่าทำอะไรก็ได้ จึงเป็นการคิดผิดอย่างมาก อีกทั้งเกิดภาพยกมือไหว้ สว.กลางห้องประชุมสภา เพื่อขอปิดสวิตซ์ตัวเอง เป็นการกระทำที่ผิดวิสัย ซึ่งไม่น่าได้เห็น แต่ก็เห็นจนได้ จึงเป็นพฤติกรรมแบบหมดสภาพของพรรคอันดับสอง” นายจตุพร ระบุ