วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 24, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight“เงินบาทอ่อน” ลุ้นประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“เงินบาทอ่อน” ลุ้นประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ

เงินบาทเปิดตลาดอ่อนค่าที่ระดับ 34.85 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นักลงทุนคาดพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลผสมได้สำเร็จหนุนตลาดหุ้นไทย จับตาเงินเฟ้อสหรัฐฯ หากชะลอลงอาจทำให้เงินดอลลาร์พลิกอ่อนค่าได้

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.85 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.83 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดย แนวโน้มของค่าเงินบาทมองว่าในระยะสั้น เงินบาทอาจยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเผชิญความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทย

ทั้งนี้ประเมินว่า จากสถานการณ์การเมืองล่าสุด นักลงทุนต่างชาติก็ไม่ได้เทขายหุ้นไทยมากขึ้นและเริ่มเห็นแรงขายหุ้นไทยที่ลดลงจากช่วงก่อนหน้า ทำให้เรามองว่า หากมีสัญญาณที่ชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลผสมได้สำเร็จ นักลงทุนต่างชาติก็อาจมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดทุนไทยมากขึ้นและเริ่มทยอยกลับมาเป็นฝั่งซื้อสินทรัพย์ไทยสุทธิ ซึ่งจะช่วยทำให้เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าไปมาก

โดยเรายังคงประเมินโซนแนวต้านสำคัญไว้ที่ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแรกแถว 34.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มาได้ในช่วงวันก่อนหน้า ทั้งนี้หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ (ซึ่งเราคาดว่าต้องเห็นความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลก่อน) เราประเมินโซน 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นแนวรับสำคัญแรก และโซน 34.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นโซนแนวรับถัดไปในระยะสั้น

นอกจากนี้ ทิศทางเงินดอลลาร์อาจเริ่มเข้าสู่ช่วงแกว่งตัว sideway เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอลงตามคาด หรือ ชะลอลงมากกว่าคาด เงินดอลลาร์ก็มีโอกาสพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ในตลาดต่างก็มีสถานะ Short เงินดอลลาร์อยู่ (มองเงินดอลลาร์อ่อนค่า) และรอจังหวะในการเพิ่มสถานะ Short เมื่อเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและบรรยากาศในตลาดการเงินที่อาจพลิกไปมาในช่วงนี้ ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.70-34.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับบรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด (ราว 85% ของบริษัทที่ได้รายงานผลประกอบการนั้น มีผลกำไรดีกว่าคาด) รวมถึงแรงซื้อหุ้นในจังหวะย่อตัว หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวแรงในสัปดาห์ก่อนหน้า ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.90%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 รีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย +0.09% หนุนโดยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) เดือนสิงหาคม ที่ปรับตัวขึ้น ดีกว่าคาด ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้นทั้งรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรป

ในฝั่งตลาดบอนด์ แรงขายบอนด์ระยะยาวฝั่งสหรัฐฯ เริ่มชะลอลงบ้าง ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัว sideway ใกล้ระดับ 4.08% (กรอบ 4.05%-4.12%) โดยเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยของเฟดจากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ก่อนที่จะมีการปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนอีกครั้ง

ทั้งนี้เราคงมุมมองเดิมว่า นักลงทุนสามารถทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวได้ (ยังคงเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) เนื่องจาก Risk-Reward ถือว่าน่าสนใจ โดยเราประเมินว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็อาจมีอีกไม่มากนัก (มองบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจไม่ทะลุระดับ 4.30%) ขณะที่ การปรับตัวลดลงยังมีโอกาสพอสมควร (คงเป้าปลายปี บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แถว 3.50%) ในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง หรือ เฟดเริ่มส่งสัญญาณพร้อมผ่อนคลายนโยบายการเงิน

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงเคลื่อนไหว sideway โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวใกล้ระดับ 102.1 จุด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงขายทำกำไรบ้าง ในช่วงที่บรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง ในส่วนของราคาทองคำ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตาปัจจัยใหม่ๆ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ทำให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังคงแกว่งตัว sideway ใกล้ระดับ 1,970 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานยอดการค้าเดือนกรกฎาคม โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า ยอดการส่งออก (Exports) จะยังคงหดตัวกว่า -12.6%y/y กดดันโดยการชะลอตัวของบรรดาเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า สอดคล้องกับรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตที่ยังคงอยู่ในภาวะหดตัว (ดัชนีต่ำกว่าระดับ 50 จุด) นอกจากนี้ การฟื้นตัวในประเทศที่ยังคงซบเซาจะกดดันให้ยอดการนำเข้า (Imports) ยังคงหดตัว -5.3%y/y ทั้งนี้ ในระยะถัดไป เราคาดว่า ยอดการค้าของจีน โดยเฉพาะในฝั่งนำเข้าอาจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น หลังทางการจีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซน ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อของแต่ละประเทศ อาทิ อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนี ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง ก็อาจทำให้ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) สามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้

นอกจากนี้ เรามองว่า รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ยังคงเป็นปัจจัยที่ควรติดตามใกล้ชิดและอาจส่งผลต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้ และส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์การเมืองไทยจะยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อรอลุ้นการจัดตั้งว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลใหม่และการโหวตเลือกนายกฯ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img