ศึกชิง“หัวหน้าพรรค”ทำ“ปชป.”ร้าวหนัก

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นอกจากจะล้มเหลวในการสู้ศึกเลือกตั้งเมื่อเดือน 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้ สส.มาเพียง 25 คน ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งครั้งก่อนหน้านั้น ได้สส.52 คน

จนนำมาสู่การลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ “จุรินทร์ ลักษณ์วิศิษฏ์” และ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ต้องยอมทิ้งตำแหน่งเลขาธิการพรรค เพื่อให้สรรหา “ผู้นำพรรค” และ “กรรมการบริหารพรรค” (กก.บห.) ชุดใหม่ เข้ามาขับเคลื่อนพรรคที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุดต่อไป  

แต่ไม่น่าเชื่อว่า การประชุมพรรคประชุมใหญ่วิสามัญพรรคปชป. ครั้งที่ 2 ประจำปี 2566 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรคชุดใหม่ จะเกิดเหตุการณ์ประชุมล่มเป็นครั้งที่ 2 อันเนื่องมาจากองค์ประชุมไม่ครบ อยู่ในห้องประชุมเพียง 223 คน จากข้อกำหนดที่องค์ประชุมต้องมี 250 คน จนนำมาสู่ต้องยกเลิกการประชุมในที่สุด

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่  9 ก.ค. การประชุมใหญ่พรรค ปชป.ก็ล่มมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งรอบดังกล่าว เกิดจากมีการล็อบบี้ ให้โหวตเตอร์ไม่เข้าร่วมประชุม โดยมีการขอให้เดินทางออกจากสถานที่จัดประชุม เพื่อทำให้ประชุมล่ม ซึ่งกลุ่มที่เคลื่อนไหวดังกล่าวก็ทำสำเร็จ

“เฉลิมชัย” รักษาการเลขาธิการพรรค ปชป. แถลงภายหลังเกิดเหตุการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคล่ม เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบว่า เป็นพฤติกรรมเลวร้ายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำประกาศอุดมการณ์ของพรรค ข้อที่ 1 พรรคจะดำเนินการโดยวิถีทางอันบริสุทธิ์ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายให้กับพรรคอย่างมาก การที่องค์ประชุมไม่ครบทั้ง 2 ครั้งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เกิดโดยธรรมชาติ

แต่เกิดจาก พฤติกรรมของกลุ่มคนบางกลุ่ม ซึ่งต้องขอโทษสมาชิกพรรคด้วย มีการให้องค์ประชุมออกจากห้องประชุม ไม่ให้ลงชื่อเป็นองค์ประชุม มีการให้องค์ประชุมไปเที่ยวประเทศลาว เพื่อไม่ให้มาประชุม ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่เลวทราม ไม่น่าเกิดขึ้นในพรรคที่เป็นสถาบันทางการเมือง

“เชื่อว่า กลุ่มคนดังกล่าว รู้ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่ขอให้มีจิตสำนึก เชื่อว่าถ้าจิตสำนึกกลับคืนมา พรรคจะเดินหน้าได้ พรรคมีระเบียบ มีข้อบังคับ ไม่สามารถทำอะไรโดยลำพัง ทำอะไรโดยมีความคิดส่วนตัวได้ ประชาธิปัตย์มีกฎ ข้อบังคับ แต่ทุกวันนี้หลายคนฉีกกฎข้อบังคับเอง ซึ่งจะทำให้ปชป.เสื่อมถอย สมาชิกส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมส่วนนี้ วันนี้ผมขอประณาม ถ้ามีจิตสำนึกที่เพียงพอขอให้กลับมาช่วยทำให้พรรค ปชป.เดินหน้าต่อไปได้ ไม่ใช่เล่นเกมการเมืองเพื่อหวังตอบสนองความต้องการของใครบางคน” เฉลิมชัย กล่าวอย่างมีอารมณ์

นอกจากนี้ในระหว่าง “เฉลิมชัย” แถลงข่าวได้ มีสส.พรรค ปชป. 21 คน มารวมแถลงด้วย ซึ่ง “เฉลิมชัย” กล่าวว่า “ต่ำๆ มี 21 คน ฝากบอกกับสื่อด้วยว่า คนที่คิดว่าพรรคจะต้องเดินตามแนวทางนี้ มีไม่ต่ำกว่า 21 คน”

ต้องถือว่า การแถลงข่าวของรักษาการเลขาธิการพรรคปชป. เป็นไปด้วย ท่าทีแข็งกร้าว ใช้คำพูดรุนแรง แม้จะรู้ว่าเบื้องหลัง “คนเดินเกม” ให้ “องค์ประชุมล่ม” เป็นใคร

อันที่จริง “เฉลิมชัย” เคยประกาศวางมือทางการเมือง หลังจากนำพาพรรคพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง แต่ก็ยังเดินเกมสนับสนุน “นราพัฒน์ แก้วทอง” รักษาการรองหัวหน้าพรรคดูแลภาคเหนือ ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ส่วนเลขาธิการพรรคจะสนับสนุนให้ “เดชอิศม์ ขาวทอง” รักษาการรองหัวหน้าพรรคที่ดูแลภาคใต้ ขึ้นมา

อีกทั้งยังมีข่าว ช่วง “เดชอิศม์” เดินทางทางไปแก้บน หลังชนะการเลือกตั้งที่จ.สงขลา ที่ฮ่องกง ได้เดินทางไปพูดคุยกับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงการเข้าร่วมรัฐบาล ที่มี “พรรคเพื่อไทย” (พท.) เป็นแกนนำ ซึ่งทำให้แกนนำนำอาวุโสในพรรค นำโดย “ชวน หลีกภัย” อดีตหัวหน้าพรรค ปชป. ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย และออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ใครไปเจรจาอะไรก็ตาม  ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล เพราะต้องนำเข้ามาหารือในที่ประชุมพรรค

นอกจากนี้ยงมีข่าว “ชวน” พร้อมด้วย “ผู้อาวุโสหลายคนในพรรค” อย่างเช่น “บัญญัติ บรรทัดฐาน” ต่างเดินเกมสนับสนุน “อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ” ให้เข้ามาทำหน้าที่หัวหน้าพรรคอีกครั้ง โดยเชื่อว่าด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน การกลับมาเล่นบท “ฝ่ายค้าน” จะเหมาะสมกว่า อีกทั้งด้วย ภาพลักษณ์ของ “อภิสิทธ์” จะช่วยกอบกู้พรรคได้ และเห็นว่าการเข้าร่วมรัฐบาล ด้วยจำนวน สส. 25 คน คงไม่สามารถแสดงบทบาทอะไรมากหนัก จึงไม่เห็นด้วยกับแนวทาง การขับเคลื่อนทางการเมืองของ “กลุ่มเฉลิมชัย”

ด้าน “สาธิต ปิตุเตชะ” รองหัวหน้าพรรคภาคกลาง พรรคปชป. กล่าวก่อนการประชุมใหญ่วิสามัญฯว่า “นายอภิสิทธิ์ มีความเหมาะสมในสถานการณ์นี้ และจะเป็นผู้เสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนเรื่ององค์ประชุมนั้น ยังมีปัญหา เพราะเกิดข้อถกเถียงเรื่องสัดส่วนเสียงโหวต 70 ต่อ 30 ที่ยังมีปัญหาอยู่ ที่ให้น้ำหนักการโหวตของ สส. ร้อยละ 70 และสมาชิกพรรค ร้อยละ 30 กรณีที่ยังไม่มีการแก้ไขข้อบังคับพรรค”

เนื่องจากที่ผ่านมาพรรค ปชป.มี สส. 50 ถึง 100 ที่นั่งขึ้นไป แต่ครั้งนี้พรรคได้ สส.มาเพียง 25 ที่นั่ง จึงต้องมาหารือกันในชั้นต่อไป ดังนั้นหากมีโอกาสจะเสนอญัตตินี้ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง ให้ สส.และสมาชิกพรรคมีน้ำหนักในการโหวตเท่ากันคือ 1 ต่อ 1

“แม้ท่านอภิสิทธิ์จะได้รับการโหวตเป็นหัวหน้าพรรคในวันเดียวกันนี้หรือไม่ กลุ่มของผมก็มีจุดยืนว่า จะไม่เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรค พท. ขอทำพื้นที่ตัวเองให้ดี และเสนอตัวใหม่อีกครั้งในโอกาสถัดไป ทเชื่อว่าท่านอภิสิทธิ์เหมาะสมเป็นหัวหน้าพรรคในสถานการณ์นี้ และเชื่อว่าจะนำพาพรรคกลับไปสู่ที่เดิมได้ ส่วนจะเป็นสถานการณ์ไหน ทั้งผมและท่านอภิสิทธิ์ ก็ขอยืนยันจุดเดิมว่าจะไม่ร่วมกับรัฐบาลที่ยุ่งเหยิง” สาธิต ระบุ

อย่างไรก็ตาม การที่ “รักษาการเลขาธิการพรรค ปชป.” มี สส.อยู่ในมือ 21 คน ทำให้การขับเคลื่อนในพรรค ปชป. มีน้ำหนัก เพราะ “ข้อบังคับพรรค” กำหนดไว้ว่า เวลาออกเสียงเลือกผู้บริหารพรรคให้ถือว่า คะแนนในส่วนของ สส. นับเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสมาชิกส่วนอื่นๆ ถือเป็น 30 เปอร์เซ็นต์

จึงนำมาสู่ความพยายาม ในการแก้ไขสัดส่วนดังกล่าว ให้นับเป็น 1 คะแนนเท่ากัน

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าว ไม่ได้รับการสนองตอบจาก “กลุ่มเฉลิมชัย” เพราะถือว่าตนเองได้เปรียบ จึงถูกตอบโต้ของ “ฝ่ายตรงข้าม” โดยการทำให้ องค์ประชุมล่มถึง 2 ครั้ง

“นราพัฒน์ แก้วทอง” ซึ่งถูก “กลุ่มเฉลิมชัย” วางตัวให้เป็นหัวหน้าพรรคคคนใหม่ ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมว่า อยากเรียกร้องให้สมาชิกพรรค ปชป. คิดถึง และรักพรรคให้มาก การทำลายองค์ประชุม และการไม่มาร่วมประชุม ทั้งที่เป็นหน้าที่ แต่ไม่มา และทำให้องค์ประชุมไม่ครบ ทำให้การประชุมล่ม สังคมมองว่าพวกเรามีปัญหากัน คิดว่าจะทำให้พรรคแย่ลงไป

จึงอยากเรียกร้องให้มาใช้สิทธิ์ และทำหน้าที่ของตัวเอง ท่านรักใครชอบใคร สนับสนุนใคร เป็นสิทธิ หน้าที่ ของท่าน การจัดประชุมใหญ่ไม่ใช่จัดกันง่ายๆ ทุกครั้งมีค่าใช้จ่ายในการจัด เพื่อให้สมาชิกมาประชุมร่วมกันให้ครบ

“ผมอยากให้คิดถึงพรรค ไม่ว่าจะเป็นคนเก่าหรือคนใหม่ คิดถึงพรรคให้มากกว่าตัวบุคคล ว่าสิ่งที่ทำกันอยู่ตอนนี้ ท่านคิดว่าท่านชนะ คนชนะคือใคร คนแพ้คือใคร พรรค ปชป.ที่แพ้ วันนี้แพ้ภัยตัวเอง เพราะเราขาดความสามัคคี หวงพรรค ไม่ยอมส่งไม้ต่อให้คนรุ่นถัดไป แล้วเราจะตามพรรคอื่นได้อย่างไร เขาไปถึงไหนแล้ว พรรคอื่นเช้าลาออก-บ่ายได้หัวหน้าพรรคแล้ว ส่วนปชป. 2 ครั้งแล้ว ยังไม่ได้หัวหน้าพรรคเลย แล้วประชาชนจะฝากความหวังกับพรรคปชป. ได้อย่างไร ยืนยันว่าผมรักพรรค วันนี้เรายังไม่ได้หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคเลย แล้วพรรคจะเดินต่อกันได้อย่างไร ส่วนการร่วมรัฐบาลหรือไม่ร่วม คนละเรื่องกัน” นราพัฒน์ กล่าว

ต้องยอมรับว่า ความขัดแย้งของพรรคปชป.ครั้งนี้ มีความรุนแรงมากพอสมควร ดูเหมือน “ชวน หลีกภัย” ซึ่งถือว่าเป็น ผู้มากบารมีภายในพรรค ก็ไม่สามารถเป็นตัวกลางในการทำความเข้าใจได้ เพราะถือเป็นผู้สนับสนุน “อภิสิทธิ์” ซึ่งยืนอยู่ตรงกันข้ามกับ “กลุ่มเฉลิมชัย” ดังนั้นต้องรอดูว่า เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร

หรือฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ รักษาการเลขาธิการพรรค ปชป. เข้ามายึดอำนาจบริหารงานในพรรค จะใช้วิธีวอล์คเอาท์ ไม่เข้าประชุมเลือกหัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรค แต่ก็สร้างผลระทบและความเสียหายกับพรรคต้นสังกัด

ดังนั้นก็คงอยู่ที่การพูดคุย เพียงแต่ดูท่าที “เฉลิมชัย” ที่แข็งกร้าว ยิ่งมี 21 ส.ส.เป็นฐานทางการเมือง คงไม่ยอมให้ตกเป็นไก่รองบ่อน อีกทั้งรัฐธรรมนูญ (รธน.) ก็ให้สิทธิ์ สส.ในการออกเสียง มติพรรคอาจไม่มีความหมาย

หรือจะซ้ำรอยเหตุการณ์ในอดีต เวลามีการเลือกผู้บริหารพรรค แล้วมีข้อขัดแย้ง ก็จะมีสมาชิกพรรคลาออก หรือแยกตัวไปตั้งพรรคใหม่ เหมือนเหตุการณ์ชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคปชป. ระหว่าง “กลุ่มพิชัย รัตตกุล” กับ “กลุ่มเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์” ในยุครัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จนสุดท้ายเกิด “กลุ่ม 10 มกราฯ” และต่อมาทั้งหมดก็ออกจากพรรค ปชป.ไป

รวมทั้งการชิงหัวหน้าพรรค ปชป.ในครั้งที่ผ่านมา ก็ทำให้คู่ชิงหัวหน้าพรรค ปชป.อย่างน้อย 3 คนที่พลาดหวัง ก็ต้องเดินออกจากพรรค ปชป.เช่นกัน คือ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม-กรณ์ จาติกวณิช-พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

ต้องจับตาดูวิกฤติที่เกิดขึ้นครั้งนี้ จะมีบทสรุปอย่างไร ในขณะที่พรรคเก่าแก่ ที่ถูกยกให้เป็นสถาบันอยู่ในสภาพวิกฤติ ล้มเหลวในการเลือกตั้งจนเหลือ สส.แค่ 25 คน แล้วยังความขัดแย้งภายใน จากที่เคยเป็นขั้วหลักทางการเมือง กลับกลายเป็นเพียงตัวประกอบทางการเมือง ไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ ถึงจะกลับมาเป็นแกนนำหลักทางการเมืองได้

……………………………………

คอลัมน์ : ล้วง-ลับ-ลึก

โดย…“แมวสีขาว”