เห็นข่าว สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) จะเข้ามาควบคุม เครื่องรางของขลัง ที่โอ้อวดอภินิหารเกินจริงแล้ว บอกตรงๆ ว่า หดหู่ใจ ไม่รู้ว่า “พระมหาเถระผู้ใหญ่” บ้านเรา คิดเกิดความละอายแก่ใจกันบ้างหรือไม่ เพราะเครื่องรางของขลังส่วนใหญ่..ล้วนเกิดจากวัด
“เปรียญสิบ” มองว่าแนวคิด สคบ. นี้เหมือน “ตบหน้า” พระผู้ใหญ่บางรูป พระบางกลุ่ม
ยิ่งกรณีรูปปั้น “ครูกายแก้ว” มีกระแสว่าโรงแรมดังกล่าว เจ้าของ เป็นอดีตนักการเมืองคนหนึ่งใน จังหวัด อ. โดยมีที่ปรึกษาเป็น สว.คนดังคนสนิทใกล้ชิดกับ “พระสมเด็จ” ผู้มากบารมีรูปหนึ่ง รูปปั้นสายมู ทั้งหลายที่ตั้งอยู่ ณ หน้าโรงแรมแห่งนี้ ลองไปสืบดูเถอะ ใช่หรือไม่ มีคนบอกว่า “พระสมเด็จ” รูปดังกล่าว เคยมีประกอบทำพิธีมาแล้ว
“เปรียญสิบ” มิได้ปฎิเสธเรื่องความเชื่อหรือความศรัทธาของบุคคล ทุกคนมีสิทธิที่จะเชื่อและศรัทธาตราบใดที่ไม่ละเมิดศีลธรรมอันดีงามของประชาชน
แต่กรณี “พระภิกษุสงฆ์” จะไปหลับตาโอ้อวดสรรพคุณเครื่องรางของขลังของตนเอง เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อจนกลายเป็น “ความงมงาย” อันนี้ “มหาเถรสมาคม” ต้องจัดการ
กรณีบุคคลนั้น ดำรงตำแหน่งกรรมการ “มหาเถรสมาคม” กระทำผิดเสียเอง “สมเด็จพระสังฆราช” ต้องตักเตือน หากแม้น “สมเด็จพระสังฆราช” เอาไม่อยู่ ก็ต้องอยู่ในดุลยพินิจของ “พระมหากษัตริย” เนื่องจากการแต่งตั้ง ถอดถอนและปลด กรรมการมหาเถรสมาคมเป็น “พระราชอำนาจ”
“เปรียญสิบ” เห็น สคบ. กำลังจะออกกฎระเบียบเพื่อควบคุมเครื่องรางของขลังแล้ว มองว่าใน “วิกฤติ” ย่อมมี “โอกาส” เรื่องนี้ “มหาเถรสมาคม” ต้องตั้งหลักดีๆ “บางศาสนา” เวลาโรงงาน บริษัท ผลิตอาหารต้อง “ขอตรารับรอง” ฉันใด เป็นไปได้หรือไม่ กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ หรือแม้กระทั่ง วัด เวลาจะสร้างวัตถุมงคล จำต้องขออนุญาตจาก “มหาเถรสมาคม” โดยมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมหรือค่าดำเนินการอะไรก็แล้วแต่ ฉันนั้น
อันนี้รวมทั้งบริษัทรับผลิตวัตถุมงคล ร้านจำหน่าย มันต้องมีระบบควบคุมด้วย…หากให้ดีแม้กระทั้ง “พระปลุกเสก” มหาเถรสมาคมก็ต้องควบคุม
นานมาแล้ว “เปรียญสิบ” เคยเสนอให้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตั้งโรงงานผลิตจีวร บาตร หรือสังฆทาน หรืออะไรก็ตามที่เป็น อัฎฐบริขาร เครื่องอุปโภค บริโภคของพระสงฆ์ สามเณร ที่ “ถูกต้อง” เป็นไปตาม “พุทธบัญญัติ” ถูกต้อง “ตามพระวินัย” แต่เรื่องก็เงียบ
เคยคิดจะ “ยุ” ให้ มหาจุฬาฯ ทำ แต่เห็น “โรงพิมพ์ มจร” มีเรื่องฉาวเลย “หยุดคิด” ไม่อยาก “ชี้โพรงให้กระรอก”
กรณีผ้าไตรจีวร ทุกวันนี้นับตั้งแต่ “สมเด็จพระสังฆราช” จนถึง “เจ้าอาวาส” เคยพิสูจน์ตรวจสอบบ้างหรือไม่ว่า จีวรก็ดี สังฆาฎิก็ดีที่พวกพระคุณเจ้านุ่งหุ่มนั่น ถูกต้องตาม “พุทธบัญญัติ” หรือไม่
“เจ๊ก” ผลิตมาอย่างไร “แรงงานข้ามชาติ” ตัดมาแบบไหน ก็นุ่งห่มแบบนั่น ปัจจุบันจึงมี “วัดป่า” บางวัด ปฎิเสธผ้าไตรจากโรงงาน เพราะไม่เชื่อมั่นว่า จีวรที่ขายอยู่ตามร้านสังฆภัณฑ์ทุกวันนี้ เป็นไปตามพุทธบัญญัติ เป็นไปตามพระวินัย
แบบนี้มหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนา “ต้องคิด” คิดเพื่อหารายได้เข้าสู่สถาบันสงฆ์และใช้งบประมาณ ตรงนี้ สนองงานคณะสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ วัด ประชารัฐ สร้างสุข โครงการหมู่บ้านศีล 5 หรืองบประมาณฉุกเฉินช่วยครูสอนพระปริยัติธรรมที่กำลังนัดรวมตัวกันในวันที่ 24 ส.ค.นี้ ที่พุทธมณฑล คิดแล้ว “ชาวพุทธ” กระจอกสิ้นดี มี พ.ร.บ.พระปริยัติสามัญ คลอดมาแล้วกว่า 4 ปี งบประมาณไม่ได้สักบาท บางคนเสนอชื่อไปแล้วรอเงินเดือน จนตายไปแล้วก็มี ในขณะที่พระผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็ “เคาะกะลา” ให้หมาดีใจ ยื้อเวลาไปเรื่อยๆ หากเป็นคน “ศาสนาอื่น” คงเผา พ.ร.บ. หน้าทำเนียบฯ หน้าอาคารรัฐสภา กันแล้ว
เรื่องนี้จริงเท็จประการใดไม่ทราบ มีคนสำนักงานพุทธมากระซิบบอกกับ “เปรียญสิบ” ว่า มีกรรมการมหาเถรสมาคมบางคน ไม่ปลื้มกับ พ.ร.บ.ฉบับนี้ เนื่องจากกลัวพระเณร “ไม่เรียนบาลี” สมองตื้นสิ้นดี
“เปรียญสิบ” คิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่คณะสงฆ์ต้องหาเงิน “เข้ากระเป๋า” ตนเอง มัวแต่รอเงินจากรัฐบาลเหมือนดังเคยที่ผ่านมา..คงไม่ต้องทำอะไร ลูกพระลูกเณร คนทำงานรับใช้วัด คงอดตายกันพอดี
ยุคปัจจุบัน “ขออนุโมทนาบุญ” คนเขาไม่ต้องการแล้ว หมุดยุคหากินแบบง่าย ๆ
แต่หากคิดจะหาแบบเงิน “กองทุนวัดช่วยวัด” หรือรอเงินปันผลจาก “ศาสนสมบัติกลาง” อย่างเดียว แล้ว “กอดไว้แน่น” อันนี้ก็อย่าหาทำ คิดสิ คิด??
………………………
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย…“เปรียญสิบ”: [email protected]