Geoengineering | Large-Scale Intervention in the Earth’s Natural Systems to Counteract Climate Crisis
“…..นักวิทยาศาสตร์ ชี้ว่า ถึงแม้จะมีการดำเนินมาตรการเชิงรุกมากมาย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ภาวะโลกร้อนที่จะยังคงพยายามทำให้ต่ำลงกว่า 1.5-2oC ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ไม่น่าเป็นไปได้ …”
ภูมิวิศวกรรม Geoengineering คือ การแทรกแซงขนานใหญ่โดยเจตนาในระบบธรรมชาติของโลก Large-Scale Intervention in the Earth’s Natural Systems เพื่อต่อสู้กับสถานการณ์วิกฤติสภาพภูมิอากาศ Counteract Climate Crisis ..
โดยทั่วไป วิศวกรรมภูมิอากาศ Climate Engineering หรือเรียกอีกอย่างว่า ภูมิวิศวกรรม Geoengineering เป็นคำที่ใช้สำหรับทั้งการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide Removal : CDR และการจัดการกับรังสีดวงอาทิตย์ หรือที่เรียกว่าวิศวกรรมภูมิอากาศด้วยแสงอาทิตย์ Solar Geoengineering เมื่อนำไปใช้ในระดับดาวเคราะห์ รวมทั้งเทคนิคอื่น ๆ ในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide : CO2 มาเก็บไว้ และปล่อยคายออกซิเจน Oxygen : O2 ปริมาณมากขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศในระดับโลก .. อย่างไรก็ตาม พวกมันมีลักษณะทางธรณีฟิสิกส์ Geophysical Characteristics ที่แตกต่างกันมาก ซึ่งทำให้คณะกรรมการระหว่างนครรัฐของสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Intergovernmental Panel on Climate Change : IPCC หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำที่ครอบคลุมกรอบกว้างนี้ หรือใช้คำนี้อย่างระมัดระวัง ..
วิธีการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide Removal : CDR ด้วยรูปแบบต่างๆ คือ ส่วนหนึ่งของการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Climate Change Mitigation .. ทั้งนี้ วิศวกรรมภูมิศาสตร์พลังงานแสงอาทิตย์ Solar Geoengineering นั้น เกี่ยวข้องกับการสะท้อนแสงอาทิตย์บางส่วนกลับคืนสู่อวกาศ ขณะที่ภูมิวิศวกรรมทางทะเล Marine Geoengineering Techniques ซึ่งหมายถึง มหาสมุทร กับทะเลชายฝั่ง Ocean & Coastal Sea นั้น ต่างออกไป พวกมัน คือ ตัวแสดงสำคัญที่เหนือชั้นกว่าการปลูกป่า และการฟื้นฟูพื้นที่ป่าฝน Afforestation & Reforestation อยู่หลายร้อยเท่า ..
ทั้งนี้ ภูมิวิศวกรรม Geoengineering ในทุกรูปแบบนั้น มิใช่วิธีแก้ปัญหาแบบแยกเดี่ยว Stand Alone สำหรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Climate Change ที่ถือเป็นวิกฤติในปัจจุบัน แต่จำเป็นต้องดำเนินการควบคู่กับการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในรูปแบบอื่น ๆ ไปพร้อมด้วย อีกแนวทางหนึ่งในวิภูมิศวกรรม Geoengineering คือ การเพิ่มการแผ่รังสีความร้อนของโลกผ่านการระบายความร้อนด้วยการแผ่รังสีแบบพาสซีฟ Passive Radiative Cooling ..
การกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide Removal : CDR หมายถึง กิจกรรมของมนุษย์ที่กระชากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CO2 ออกไปจากชั้นบรรยากาศ และกักเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำทางธรณีวิทยา ใต้ชั้นหิน บนบก หรือในมหาสมุทร เช่น การขุนบำรุงเลี้ยงมหาสมุทร Ocean Fertilization และการปลูกป่าใต้ทะเลตามแนวชายฝั่ง Blue Carbon : Planting Undersea Seaweed & Forests along the Coast เป็นต้น หรือจัดเก็บไว้ในผลิตภัณฑ์อย่างถาวร ซึ่งรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการที่มีอยู่เดิม และการเพิ่มศักยภาพของอ่างกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทางชีวภาพ หรือทางธรณีเคมี Biological or Geochemical CO2 Sinks ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ เช่น บนผืนดิน ป่าฝน และมหาสมุทร รวมทั้ง ศักยภาพในการดักจับ และกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศโดยตรง Direct Air Carbon Dioxide Capture & Storage ด้วยเทคโนโลยีการปล่อยมลพิษเป็นลบสุทธิ Negative Emissions Technologies รูปแบบต่าง ๆ แต่ไม่รวมถึงการดูดซับ CO2 ตามธรรมชาติที่ไม่ได้เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์โดยตรง ..
วิศวกรรมภูมิอากาศ Climate Engineering บางประเภท ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันเนื่องจากความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับประสิทธิภาพ ผลข้างเคียง และผลที่ตามมาที่คาดไม่ถึง .. อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการแทรกแซงดังกล่าวจะต้องเห็นในบริบทของวิถีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยไม่มีความเสี่ยงดังกล่าว เป็นต้น เพื่อให้แน่ใจว่า มาตรการในระดับโลก และระดับดาวเคราะห์ทั้งหมดเหล่านี้ จะไม่สร้างความเสียหายร้ายแรงที่คาดไม่ถึงต่อระบบนิเวศวิทยา Ecosystem บนโลกใบนี้ ..
แนวความคิดที่ถกเถียงกันเกี่ยวกับการทำให้สภาพอากาศของโลกเย็นลงด้วยการแทรกแซงขนานใหญ่จากกิจกรรมของมนุษย์โดยเจตนาด้วย Artificial Means นั้น น่าจะต้องใช้ความมุ่งมั่นระดับโลกที่ยาวนานกว่าที่ผู้กำหนดนโยบาย Policymakers และความเข้าใจของสาธารณชน Public Understand จะยอมรับได้ง่ายๆ .. จากการศึกษาล่าสุด ได้ทำให้เกิดคำถามใหม่ๆ เกี่ยวกับศักยภาพของการใช้เทคโนโลยีทางภูมิวิศวกรรม Geoengineering ว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบอะไรบ้าง คือ ประเด็นสำคัญ ..
หากผู้นำระดับโลก Global Leaders วางแผนงานที่จะใช้เทคโนโลยีภูมิวิศวกรรม Geoengineering Technologies เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศระหว่างประเทศ พวกเขาอาจต้องใช้เวลามากกว่าทศวรรษในการพิจารณาตัดสินตกลงใจ และเริ่มดำเนินการ .. การศึกษาชี้ให้เห็นว่า กรอบเวลาที่ยาวนาน อาจยิ่งทำให้การถกเถียงเกี่ยวกับการปรับภูมิอากาศด้วยภูมิวิศวกรรม Geoengineer the Climate และขนาดการใช้ Scale of Using ของพวกมัน ซับซ้อนขึ้นไปอีก ..
อย่างไรก็ตาม ภูมิวิศวกรรม Geoengineering มักถูกมองกันว่า เป็นมาตรการชั่วคราว ดังนั้น จึงหมายความว่าค่อนข้างสั้น ซึ่งอาจเป็นเพียงประมาณ 2-3 ทศวรรษ เท่านั้น .. นางซูซานน์ บาวร์ Susanne Baur หัวหน้าทีมวิจัยจาก European Center for Research & Advanced Training ในประเทศฝรั่งเศส กล่าวยืนยันว่า ด้วยการคำนวณทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียด และเมื่อพวกเขาเริ่มมองไปยังเส้นทางเหล่านี้ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ได้คาดการณ์การเดินหน้าไปสู่ทิศทางของภูมิวิศวกรรม Geoengineering และพบว่า ในหลายกรณี แท้จริงแล้ว พวกมันไม่ได้เป็นมาตรการชั่วคราวระยะสั้นขนาดนั้นแต่อย่างไร ..
ประชาชนทั่วไป อาจไม่ทราบถึงขอบเขตของพันธสัญญาด้านภูมิวิศวกรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ Solar Geoengineering, การขุนบำรุงเลี้ยงมหาสมุทร Ocean Fertilization และการปลูกป่าใต้ทะเลตามแนวชายฝั่ง Planting Undersea Seaweed & Forests along the Coast หรือ Blue Ocean Projects และความเสี่ยงอื่น ๆ รวมถึงความจำเป็นยิ่งยวดสำหรับความร่วมมือระหว่างประเทศในระยะยาว Long-Term International Cooperation ไปพร้อมด้วย ..
การศึกษาสถานการณ์จำลองทางภูมิวิศวกรรม Geoengineering Scenarios ที่เป็นไปได้หลายร้อยรูปแบบ เพื่อพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกที่จะลดลงอย่างรวดเร็ว ปริมาณคาร์บอนที่ถูกกำจัดออกจากชั้นบรรยากาศในแต่ละปี และวิธีการตอบสนองทางกายภาพของระบบภูมิอากาศ ซึ่งแม้จะยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่แน่นอนนัก แต่วิธีการของพวกมันนั้น เฉียบขาดอย่างยิ่ง ..
แม้ว่า ระยะเวลาที่คาดการณ์ และคำนวณไว้ในการประยุกต์ใช้ภูมิวิศวกรรม Geoengineering นั้น อาจต้องใช้เวลายาวนานไปจนถึงหลายร้อยปี แต่ก็มีเพียงไม่กี่สถานการณ์เท่านั้นที่ส่งผลเชิงบวกให้เป็นไปตามเป้าหมายสภาพอากาศที่ต้องการได้ ด้วยระยะเวลาน้อยกว่า 100 ปี .. ทั้งนี้ หากมนุษยชาติ ยังคงลังเล และไม่เลือกที่จะตัดสินตกลงใจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเร็วแล้ว โดยทั่วไป ถือว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรงต่อเนื่องนี้นั้น จะคุกคามความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน ไม่มีข้อสงสัย ..
การศึกษายังพบอีกด้วยว่า หากประเทศต่าง ๆ ตัดสินตกลงใจที่จะบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศภายใต้ข้อตกลงปารีส Paris Agreement ให้ได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีภูมิวิศวกรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ Solar Geoengineering, การขุนบำรุงเลี้ยงมหาสมุทร Ocean Fertilization และการปลูกป่าใต้ทะเลตามแนวชายฝั่ง Planting Undersea Seaweed & Forests along the Coast รวมทั้งการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide Removal : CDR ออกไปจากชั้นบรรยากาศโดยตรงนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ศตวรรษ ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกใบนี้จะหยุดนิ่งลงได้อย่างปลอดภัย และรับประกันว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นต่ำกว่าจุดเล็งที่ 1.5oC ให้สำเร็จได้ในที่สุด นั่นเอง ..
การย้อนกลับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยภูมิวิศวกรรม Reversing Climate Change with Geoengineering ..
อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลก Average Global Temperature เพิ่มขึ้นรวดเร็วกว่าห้วงเวลาใด ๆ ในช่วง 2 ล้านปีที่ผ่านมา .. สิ่งนี้ ได้ทำลายสถิติ Break the Record, ทำให้เกิดความแห้งแล้ง Droughts, คลื่นความร้อน Heat Waves และไฟป่า Wildfires รวมทั้งรูปแบบสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดพายุเฮอริเคน Hurricanes และฝนตก Rainfall รุนแรงที่สร้างความเสียหายมากยิ่งขึ้น .. กิจกรรมของมนุษย์ คือ ต้นเหตุที่ผลักดันการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยหลัก ๆ ผ่านการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide : CO2 และก๊าซเรือนกระจก Greenhouse Gases : GHGs อื่นๆ ซึ่งถูกปล่อยคายออกมาเมื่อเชื้อเพลิงฟอสซิล Fossil Fuels เช่น ถ่านหิน Coal, น้ำมัน Oil และก๊าซธรรมชาติ Natural Gas ถูกเผาไหม้เพื่อผลิตพลังงาน ..
เมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบชั้นบรรยากาศของโลก ประมาณ 30% ของแสงจะสะท้อนกลับออกสู่ห้วงอวกาศ และ 70% จะรวมอยู่ในระบบพลังงานของสภาพภูมิอากาศ .. แม้ว่า โลกจะแผ่ความร้อนที่ดูดซับไว้บางส่วนออกสู่อวกาศไปพร้อมด้วยก็ตาม แต่ก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ Greenhouse Gases in the Atmosphere ขัดขวางไม่ให้ความร้อนถูกปล่อยคายออกไปนอกโลก ด้วยความจริงที่ว่า ก๊าซเรือนกระจก Greenhouse Gases คือ ความจำเป็นต่อการรักษาโลกให้อบอุ่นเพียงพอสำหรับสิ่งมีชีวิต แต่ความเข้มข้นที่สูงมากเกินไปจะทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้นจนอาจเกิดวิกฤติต่อระบบนิเวศน์ที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิต ..
แม้ว่าวิธีที่ดีที่สุดในการชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยการเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Green & Clean Energy เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม น้ำ และพลังงานนิวเคลียร์ แต่คาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide : CO2 ที่อยู่ในชั้นบรรยากาศสามารถคงอยู่ และยังคงก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนต่อไปเป็นเวลาหลายศตวรรษ ดังนั้น ภูมิวิศวกรรม Geoengineering ซึ่งเป็นการปรับสภาพภูมิอากาศของโลกในวงกว้าง จึงกลายเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การสำรวจ ตรวจสอบ เพื่อใช้งาน เนื่องจากประเทศต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกช้าเกินไปที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะสั้นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ..
ในแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ด้วยเทคนิคทางเคมีฟิสิกส์ Physics Chemistry นั้น การทำให้โลกเย็นลง มิใช่เรื่องยาก แต่การตัดสินตกลงใจที่จะใช้พวกมันจริง ๆ เพื่อลดอุณหภูมิโลกของฝ่ายการเมือง กลับยากเย็นแสนเข็ญอย่างยิ่ง เนื่องจากยังมีผู้คนที่ไม่เข้าใจ และกังวลไม่เห็นด้วยที่จะใช้พวกมันอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ..
ตัวอย่างจากข้อมูลกรณีศึกษาการปะทุของภูเขาไฟโทบา Toba Supereruption บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย Lake Toba in Sumatra, Indonesia ซึ่งได้ทำให้เกิดฤดูหนาวที่รุนแรงทั่วโลก Global Volcanic Winter เป็นเวลา 6-10 ปี และมีส่วนทำให้เกิดสภาพอากาศหนาวเย็นลงต่อเนื่องที่เรียกกันว่ายุคน้ำแข็ง Ice Age ยาวนานถึง 1,000 ปี นำไปสู่ปัญหาคอขวดทางพันธุกรรมในมนุษย์ชาติ Genetic Bottleneck in Humans จนเผ่าพันธุ์มนุษยชาติต้องล้มตายลงไปเป็นจำนวนมาก และเหลือรอดอยู่ได้เพียงประมาณ 3,000 คนทั่วโลกเท่านั้น เมื่อประมาณ 74,000 ปีที่ผ่านมา .. การศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า โลกเย็นลงได้ เนื่องจากมวลของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ Sulphur Dioxide : SO2 ปริมาณมหาศาลอย่างน้อย 1.7 พันล้านตัน ที่ปล่อยคายออกมา และพุ่งขึ้นสู่บรรยากาศชั้นสูงระหว่างการปะทุของภูเขาไฟโทบา Toba Supervolcano ซึ่งนั่นคือ ตัวแปรสำคัญในการสร้างแบบจำลองผลกระทบทางภูมิอากาศ Climatic Effects ที่ทำให้โลกเย็นลงได้ ..
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ Sulphur Dioxide : SO2 เมื่อกระจายอยู่บนพื้นผิวโลกที่ความสูงต่ำ พวกมัน คือ ก๊าซพิษ แต่หากกระจายอยู่ในชั้นบรรยากาศที่ความสูงสูงมาก จะส่งผลดีทำให้อุณหภูมิของโลกลดลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ .. ทั้งนี้ ผลการศึกษาในปี 2564 มีการตรวจสอบแบบจำลองสถานการณ์การปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ Sulphur Dioxide : SO2 ในบรรยากาศชั้นสูง 2 กรณี ได้แก่ 0.2 พันล้านตัน และ 2 พันล้านตันของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ Sulphur Dioxide : SO2 พบว่า การทำความเย็นเฉลี่ยทั่วโลกสูงสุด คือ -2.3°C หรือ -4.1°F สำหรับการปล่อย SO2 จำนวน 0.2 พันล้านตัน และ -4.1°C หรือ -7.4°F สำหรับการปล่อย SO2 จำนวน 2 พันล้านตัน ..
นั่นหมายถึง มนุษยชาติ สามารถควบคุมอุณหภูมิของโลกได้ด้วยการสเปรย์ฉีดพ่นก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ Sulphur Dioxide : SO2 ในชั้นบรรยากาศที่ความสูงสูง อาจจะด้วยการใช้อากาศยานพาณิชย์ที่ต้องทำการบินอยู่แล้วหลายพันเที่ยวต่อวัน ซึ่งด้วยการคำนวณอย่างแม่นยำ การควบคุมอุณหภูมิของโลกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จึงมิใช่เรื่องที่ยากเย็นแต่อย่างไร .. และนี่เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างการใช้ภูมิวิศวกรรม Geoengineering เพื่อการย้อนกลับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เท่านั้น ยังมีเทคนิคทางภูมิวิศวกรรม Geoengineering ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อีกมากมาย เป็นต้น ..
ทั้งนี้ ด้วยความจริงที่ว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก Greenhouse Effect จะเพิ่มปริมาณพลังงานจากแสงอาทิตย์ที่โลกดูดซับไว้ ส่งผลให้โลกร้อนขึ้น เพื่อตอบโต้สิ่งนี้ มีการเสนอวิธีการหลายวิธีเพื่อทำให้โลกเย็นลงโดยการลดปริมาณแสงแดดที่มาถึงโลกตั้งแต่แรก วิธีการสะท้อนแสงอาทิตย์ Sun Light Reflecting Methods เหล่านี้ เรียกรวมกันว่า วิศวกรรมภูมิอากาศด้วยแสงอาทิตย์ Solar Geoengineering ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องตามที่กล่าวถึงแล้ว ได้แก่ การฉีดพ่นอนุภาคเล็กๆ ที่เรียกว่า ละอองซัลเฟต Sulfate Aerosols หรือ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ Sulphur Dioxide : SO2 เข้าไปในชั้นบรรยากาศที่ระดับความสูงสูงมาก เพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไป .. โดยปกติ ละอองลอยซัลเฟต Sulfate Aerosols ถูกปล่อยออกมาตามธรรมชาติจากภูเขาไฟ และฝุ่นทะเลทราย พวกมันยังถูกผลิตขึ้นโดยการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล และชดเชยส่วนหนึ่งของภาวะโลกร้อนที่เกิดจากก๊าซเรือนกระจก ..
อย่างไรก็ตาม เมื่อปล่อย SO2 ออกมาที่ระดับพื้นดินระหว่างการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล จะทำให้เกิดมลพิษทางอากาศในระดับที่เป็นอันตราย .. ปัจจุบัน ในทางปฏิบัติ นักวิทยาศาสตร์ กำลังทดลองปล่อยละอองซัลเฟต Sulfate Aerosols หรือซัลเฟอร์ไดออกไซด์ Sulphur Dioxide : SO2 ออกสู่บรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ Stratosphere โดยใช้เครื่องบินพาณิชย์ เครื่องบินทหาร และบอลลูนอากาศร้อน ซึ่งละออง Sulfate Aerosols ที่แขวนลอยดังกล่าวสามารถเพิ่มการสะท้อนแสงอาทิตย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ไม่ทำให้เกิดระดับมลพิษทางอากาศในระดับต่ำที่เป็นอันตราย นั่นเอง ..
วิศวกรรมมหาสมุทร Engineering the Oceans หรือ Ocean Fertilization และการดักจับคาร์บอนโดยตรง Direct Carbon Capture คือ อีกวิธีปฏิบัติทางภูมิวิศวกรรม Geoengineering ที่เฉียบขาด ..
วิศวกรรมมหาสมุทร Engineering the Oceans คือ แนวคิดที่น่าสนใจ และไม่ยากเกินไป เพื่อบำรุงรักษาสุขภาพของโลก World Health ด้วยศักยภาพ และสุขภาพของมหาสมุทร Potential & Health of the Oceans .. ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งของ CO2 ในชั้นบรรยากาศที่มีปริมาณมากเกินไป คือ ความเป็นกรดในมหาสมุทร Ocean Acidification ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ CO2 ละลายลงสู่มหาสมุทร และทำให้เกิดกรดคาร์บอนิก Carbonic Acid ..
ความเป็นกรดของน้ำทะเลนี้ จะละลายเปลือกแข็งของสัตว์ทะเลหลายชนิด เช่น ปะการัง Corals และฆ่าพวกมัน .. นอกจากนี้ สัตว์น้ำหลายชนิดที่ไม่มีเปลือกยังไวต่อการเปลี่ยนแปลงของความเป็นกรด และไม่สามารถอยู่รอดได้นอกขอบเขตแคบ ๆ .. ปัญหาอีกประการหนึ่งของความเข้มข้นของ CO2 ในมหาสมุทรสูง ก็คือ พวกมันทำให้ CO2 สะสมในชั้นบรรยากาศเพิ่มมากขึ้นด้วย ปัจจุบัน มหาสมุทร ดูดซับ 25% ของ CO2 ที่มนุษย์ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ แต่มหาสมุทร กำลังถึงขีดจำกัดแล้ว และไม่สามารถดูดซับ CO2 ได้มากเหมือนเมื่อก่อนเช่นในอดีต ..
โดยทั่วไป มหาสมุทร The Oceans มีอิทธิพลต่อสภาพอากาศของโลกใบนี้อย่างมาก .. พวกมัน แสดงบทบาท และทำหน้าที่ การดูดซับ และกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ Absorbing & Storing Carbon Dioxide ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม .. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Climate Change และวิกฤติสภาพอากาศ Climate Crisis ในปัจจุบัน เกิดจากการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide : CO2 ที่มนุษย์สร้างขึ้น และก๊าซเรือนกระจก Greenhouse Gases อื่น ๆ ในชั้นบรรยากาศ ..
อัตราการสะสมขึ้นอยู่กับปริมาณ CO2 ของมนุษย์ที่ปล่อยออกมา และปริมาณ CO2 ส่วนเกินที่ถูกพืช และดินดูดซับ หรือถูกดูดซับลงสู่ทะเลลึกโดยแพลงก์ตอน Plankton, สาหร่าย Seaweed, พืช และสัตว์ขนาดเล็กจิ๋ว Microscopic Plants & Animals ต่าง ๆ ในทะเล .. นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่า ปัจจุบัน มหาสมุทรดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 30-50% ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล Burning of Fossil Fuels .. ทั้งนี้ หากมหาสมุทร The Oceans ไม่ทำหน้าที่ของพวกมันตามที่ควรจะเป็น จากการคำนวณคาดว่า ระดับ CO2 ในชั้นบรรยากาศจะสูงกว่าระดับปัจจุบันที่ 355 Parts per Million by Volume : ppmv ไปอยู่ที่ค่าประมาณ 500-600 ppmv ..
ในอีกแง่มุม มหาสมุทร The Oceans ยังทำหน้าที่ผลิตออกซิเจน Oxygen : O2 Production รายใหญ่ที่สุดของโลกใบนี้อีกด้วย .. นอกจากแพลงก์ตอน Plankton ในมหาสมุทร จะมีบทบาทในการแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide : CO2 ระหว่างชั้นบรรยากาศ และทะเลแล้ว พวกมันยังปล่อยคายออกซิเจน Oxygen : O2 ปริมาณมหาศาลขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศไปพร้อมด้วย ..
นักวิทยาศาสตร์ ประเมินว่า ประมาณมากกว่า 50% หรือครึ่งหนึ่งของการผลิตออกซิเจนบนโลกใบนี้ Oxygen Production on Earth นั้น มาจากมหาสมุทร .. การผลิตส่วนใหญ่มาจากแพลงก์ตอนในมหาสมุทร Oceanic Plankton และรวมถึง พืชน้ำ สาหร่าย และแบคทีเรียบางชนิดที่สามารถสังเคราะห์แสง Photosynthesis ได้ .. โปรคลอโรคอคคัส Prochlorococcus คือ สิ่งมีชีวิตสังเคราะห์แสงที่เล็กที่สุดในโลก แต่แบคทีเรียตัวน้อย ๆ เหล่านี้ สามารถผลิตออกซิเจน Oxygen : O2 ได้มากถึง 20% ในชีวมณฑลทั้งหมด Entire Biosphere .. นั่นคือ สัดส่วนที่สูงกว่าป่าฝนเขตร้อนทั้งหมดบนพื้นดินรวมกันหลายเท่าตัวด้วยซ้ำไป ..
การขุนบำรุงเลี้ยงมหาสมุทร Ocean Fertilization คือ วิธีการทางภูมิวิศวกรรมในมหาสมุทร Ocean Geoengineering Method ที่มีการศึกษามาเป็นอย่างดี และอาจช่วยลดทั้งความเป็นกรดของมหาสมุทร และภาวะโลกร้อนได้ .. พวกมันเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการเจริญเติบโตเจริญพันธุ์ของแพลงก์ตอนพืช Phytoplankton ซึ่งเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide : CO2 ให้เป็นออกซิเจน Oxygen : O2 ผ่านการสังเคราะห์แสง Photosynthesis .. แพลงก์ตอนพืชขนาดเล็กจิ๋ว Microscopic Phytoplankton เหล่านี้ ทำหน้าที่ประมาณ 50% ของการสังเคราะห์ด้วยแสงของทั่วโลก World’s Photosynthesis .. เช่นเดียวกับการใส่ปุ๋ยในสวน และพืชไร่ เพื่อช่วยให้พืชเติบโตเร็วขึ้น ปุ๋ยต่าง ๆ ก็สามารถเพิ่มลงในมหาสมุทร เพื่อช่วยให้แพลงก์ตอนพืชเติบโตเร็วขึ้น และใช้ CO2 มากขึ้น และเหล็ก Iron : 26Fe คือ ปุ๋ยหลักในมหาสมุทร Main Ocean Fertilizer ที่กำลังพิจารณา และกระบวนการนี้จะมีราคาถูกกว่า และให้ผลดีได้รวดเร็วกว่าการปลูกต้นไม้บนบกอยู่หลายเท่าตัว ..
อย่างไรก็ตาม อาจเกิดผลที่ตามมาโดยไม่ได้ตั้งใจจากวิธีนี้ด้วยเช่นกัน การเจริญเติบโตของแพลงก์ตอนพืช Phytoplankton มากเกินไป อาจทำให้เกิดการขยายตัวของสาหร่าย Algae Blooms ซึ่งทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง และเป็นอันตรายต่อสัตว์ทะเลได้ .. นอกจากนี้ แม้ว่าแพลงก์ตอนพืช Phytoplankton มีความสำคัญที่อยู่ด้านล่างสุดของห่วงโซ่อาหารทางทะเล แต่การเพิ่มจำนวนประชากรอย่างกะทันหัน อาจทำให้ความสมดุลของสาหร่ายชนิดต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ระบบนิเวศทางทะเลไม่มั่นคง นอกจากนี้ยังอาจมีราคาแพงกว่า และมีประสิทธิภาพน้อยกว่า รวมทั้งใช้เวลานานกว่าวิธีปล่อยละอองซัลเฟต Sulfate Aerosols หรือซัลเฟอร์ไดออกไซด์ Sulphur Dioxide : SO2 ออกสู่บรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ Stratosphere .. ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ คำนวณได้ว่า เพื่อให้การบำรุงเลี้ยงสุขภาพของมหาสมุทร Ocean Fertilization เหมาะสมต่อสมดุลธรรมชาตินั้น แม้ว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าวยังขึ้นอยู่กับประเภทของสารอาหาร Nutrient เช่น ยูเรีย Urea : CH4N2O, ธาตุเหล็ก Iron : 26Fe หรือสารอาหารอื่น ๆ ที่เติมลงไปในมหาสมุทรก็ตาม แต่ประมาณการค่าใช้จ่ายต่อปีโดยเฉลี่ย คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 450 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ..
การปลูกป่าใต้ทะเลตามแนวชายฝั่ง Planting Undersea Seaweed & Forests along the Coast หรือ Coastal Blue Carbon เป็นอีกบริบทการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการใช้ศักยภาพของมหาสมุทรที่น่าสนใจเช่นกัน ซึ่งหมายถึง วัฏจักรคาร์บอน Carbon Cycle ที่ขับเคลื่อนด้วยกระบวนการทางชีวภาพ และการกักเก็บในระบบมหาสมุทรที่บริหารจัดการได้ง่ายกว่า โดยทั่วไปหมายถึง บทบาทของหนองน้ำ น้ำขึ้นน้ำลง ป่าชายเลน และหญ้าทะเล ในการกักเก็บคาร์บอน Carbon Sequestration .. ระบบนิเวศวิทยา Ecosystems ดังกล่าว สามารถมีส่วนช่วยในการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Climate Change Mitigation และการปรับตัวสู่สมดุลธรรมชาติในระบบนิเวศ Ecosystem-Based Adaptation เมื่อระบบทะเลชายฝั่งเสื่อมโทรม หรือสูญเสียไป การฟื้นฟูระบบนิเวศวิทยาตามแนวชายฝั่ง จึงสำคัญยิ่ง เพื่อหยุดยั้งการปล่อยคาร์บอนกลับคืนสู่ชั้นบรรยากาศให้สำเร็จได้ในที่สุด ..
ในกรณีของการดักจับคาร์บอนโดยตรง Direct Carbon Capture นั้น พวกมัน คือ คำที่ใช้เรียกปฏิกิริยาเคมีที่กรอง CO2 จากอากาศ .. เทคโนโลยีที่มีอยู่สามารถจัดเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide : CO2 ไว้ใต้ดิน หรือเป็นช่องทางเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคได้ .. การดักจับคาร์บอนมีความเสี่ยงน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ และช่วยแก้ปัญหาต้นตอของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศที่มากเกินไป แต่ต้องอาศัยการทำงานล่วงหน้ามากกว่าเพื่อวิจัยเทคนิคต่าง ๆ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นมากกว่าการใช้วิศวกรรมภูมิศาสตร์แสงอาทิตย์ Solar Geoengineering ..
วิธีการดักจับคาร์บอน Carbon Capture Methods ช่วยส่งเสริมการเติบโตของตลาดการซื้อขายคาร์บอน Market for Carbon Trading และบริษัทฯ หลายแห่ง เช่น Carbon Engineering, Global Thermostat, CarbonCure และ Climeworks ต่างก็ทำงาน เพื่อนำเทคโนโลยีของตนไปใช้ในเชิงพาณิชย์ เมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ ต้นทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้มักจะตกอยู่ที่ภาคเอกชน ในขณะที่การลงทุนภาครัฐจะอยู่ในรูปแบบของการติดตาม และกำกับดูแลเท่านั้น ..
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักของภูมิวิศวกรรม Geoengineering เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากหลายสถาบันทั่วโลก กำลังดำเนินการทดสอบทดลองภาคสนาม เพื่อประเมินผลที่อาจเกิดขึ้นอย่างแม่นยำ และพัฒนาข้อตกลงระหว่างประเทศ เพื่อปรับใช้ และติดตามการใช้เทคโนโลยีภูมิวิศวกรรม Geoengineering Technologies อย่างปลอดภัย .. หากมีการนำภูมิวิศวกรรม Geoengineering มาใช้ เทคนิคต่าง ๆ ที่ผสมผสานกันจะถูกนำมาประยุกต์ใช้ไปพร้อมด้วย ขึ้นอยู่กับต้นทุน Cost, เงื่อนไขทางภูมิสังคม Regional Conditions และการตอบสนองของสภาพภูมิอากาศ Climate’s Response ..
วิธีการที่แตกต่างกันอาจมีผลกระทบในระดับท้องถิ่น หรือระดับโลก ดังนั้น นโยบายด้านกฎระเบียบ จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาคมระหว่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก จึงเรียกร้องให้มีการจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อให้คำแนะนำแก่สหประชาชาติ United Nations : UN และจัดลำดับความสำคัญของภูมิวิศวกรรมในการวางแผนงานต่าง ๆ ที่จะสามารถช่วยให้มนุษยชาติย้อนกลับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Reverse Climate Change ในลักษณะที่มีการควบคุมมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อต่อสู้กับสถานการณ์วิกฤติสภาพภูมิอากาศ และทำให้เกิดความยั่งยืน Sustainability ในระบบเศรษฐกิจ และสังคมของมนุษยชาติได้สำเร็จในที่สุดจากนี้ไป ..
คาดการณ์ตลาดภูมิวิศวกรรมทั่วโลก Global Geoengineering Market ..
อ้างอิงข้อมูลการตรวจสอบการพัฒนาตลาดของ Future Market Insights พบว่า ขนาดธุรกิจในตลาดภูมิวิศวกรรมทั่วโลก Global Geoengineering Market มีมูลค่าสูงถึง 11.0 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2561 .. ความต้องการภูมิวิศวกรรม Demand for Geoengineering ได้รับการบันทึกไว้ว่า อัตราการเติบโตของความต้องการต่อปี อยู่ที่ 15.5% ในปี 2565 .. ดังนั้น ตลาดภูมิวิศวกรรมทั่วโลก Global Geoengineering Market จึงได้รับการคาดหมายว่าจะสูงถึง 29.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2566 ..
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องระหว่าง ปี 2566-2576 คาดว่า ยอดขายโซลูชันภูมิวิศวกรรม Geoengineering Solutions Sales ในภาพรวมจะขยายตัวได้ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี Compound Annual Growth Rate : CAGR หมายถึง อัตราผลตอบแทนสำหรับการลงทุนในตลาดภูมิวิศวกรรมทั่วโลก Global Geoengineering Market ที่เติบโตจากยอดดุลเริ่มต้นไปถึงยังยอดดุลสิ้นสุดรวมสมมติฐานว่ากำไรจะถูกนำกลับมาลงทุนหมุนเวียนใหม่ทุกสิ้นปีของช่วงอายุการลงทุน อยู่ที่ค่า CAGR 18.7% ในช่วงระยะเวลาที่คาดการณ์ ปี 2566-2576 และขนาดตลาดรวมจะมีมูลค่าสูงแตะระดับ 132.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้ ภายในสิ้นปี 2576 ..
ในช่วงทศวรรษก่อนหน้านี้ การให้เงินทุนสนับสนุนการวิจัยทางภูมิวิศวกรรม Funding for Geoengineering Research แทบจะไม่ได้ทำให้เกิดแรงกระตุ้นใด ๆ ต่อการพัฒนาตลาดภูมิวิศวกรรม Geoengineering Market ทั่วโลก .. ในยุโรป ซึ่งหมายถึง สหภาพยุโรป เยอรมนี และสหราชอาณาจักรนั้น ภาครัฐให้ทุนวิจัยรวมทั้งสิ้นประมาณเพียง 31.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการวิจัยในช่วง 10 ปี ในขณะที่ตลาดเอกชนของสหรัฐฯ ให้เงินทุนเพื่อการวิจัยเพียง 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น ..
เมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรการบริหารมหาสมุทร และบรรยากาศแห่งชาติ National Oceanic and Atmospheric Administration : NOAA ที่มอบเงิน 22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้กับการวิจัย Supplier Relationship Management : SRM ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเพียงอย่างเดียว .. ในเดือนตุลาคม ปี 2565 สหรัฐฯ โดยทำเนียบขาว ประกาศความตั้งใจในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับภูมิวิศวกรรมแสงอาทิตย์ Solar Geoengineering และการแทรกแซงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็วอื่นๆ Solar & Other Rapid Climate Interventions เป็นระยะเวลา 5 ปี จากนี้ไป เพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณภาครัฐที่เป็นเงินทุนวิจัยต่อรัฐสภาฯ จำนวนมหาศาล ..
โครงการ Harvard Solar Geoengineering ได้รับเงิน 16.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการวิจัยของ Supplier Relationship Management : SRM และบริษัท Make Sunsets ในสหรัฐฯ ระดมทุนได้ทั้งหมด 750,000 เหรียญสหรัฐฯ จากบริษัทร่วมทุน Boost และ Pioneer Fund .. เมื่อเร็ว ๆ นี้ Make Sunsets ได้การปล่อยบอลลูนตรวจอากาศ 2 ลูก ที่บรรจุซัลเฟอร์ไดออกไซด์ Sulphur Dioxide : SO2 ขึ้นสู่อากาศในเม็กซิโก ภาครัฐ และเอกชนในหลายประเทศทั่วโลก ได้เริ่มที่จะตอบสนองต่อการทดลองในลักษณะนี้แล้ว โดยขณะนี้ Make Sunsets กำลังผลักดันการเสนอร่างกฎหมายใหม่ เพื่อรองรับการดำเนินการภูมิวิศวกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ Solar Geoengineering เป็นต้น ..
ในท้ายที่สุดแล้ว คาดหมายว่า เงินทุนจำนวนมากกำลังหลั่งไหลเข้าสู่การใช้งานเทคโนโลยีภูมิวิศวกรรมคาร์บอน Carbon Geoengineering เพื่อตอบสนองต่อการผ่านกฎหมาย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง .. เงินทุนจากภาคเอกชน Venture Capital มูลค่าอย่างน้อย 1.83 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้นำไปใช้กับเทคโนโลยีคาร์บอน Carbon Tech ในไตรมาสแรกของปี 2566 ในขณะที่ปี 2565 ก่อนหน้านี้ มีข้อตกลงทั้งหมด 242 ข้อตกลง มูลค่ารวมกว่า 3.96 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ..
โดยรวมแล้ว ภูมิวิศวกรรม Geoengineering คือ หัวข้อประเด็นที่มีหลายแง่มุม ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตเนื่องจากมนุษยชาติ ยังไม่สามารถหยุดอุณหภูมิที่สูงขึ้นเกินจุดเล็งที่ 1.5oC ได้ แม้ว่าเทคโนโลยีภูมิวิศวกรรมคาร์บอน Carbon Geoengineering Technologies เหล่านี้ จะดูเป็นเรื่องปกติ แต่ยังคงต้องใช้เวลาหลายปีในการศึกษาวิจัย และทดสอบ ก่อนที่จะใช้พวกมันเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Mitigate the Impact of Climate Change สำหรับประชาคมโลกในอนาคตอันใกล้จากนี้ไป ..
สรุปส่งท้าย ..
มนุษยชาติ ได้ใช้มาตรการมากมาย เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Climate Change ที่ไม่พึงประสงค์ และมุ่งมั่นสู่การปล่อยมลพิษเป็นศูนย์สุทธิ Net-Zero Emissions รวมทั้งหยุดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่จุดเล็ง 1.5oC ให้ได้ ภายในปี 2593 แต่ดูเหมือนว่า มาตรการระดับนานาชาติเหล่านี้ จะไม่ได้ผลเท่าที่ควรตามที่คาดหวังไว้ .. การยกเลิกการบริโภคพลังงานจากแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล Fossil Fuel-Based Energy Sources เป็นหลัก ด้วยการเปลี่ยนผ่านไปใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียน Transition to Renewable Energy Sources เป็นแหล่งพลังงานหลักทดแทนในระบบเศรษฐกิจ และสังคมของมนุษยชาตินั้น ยังไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ในทันทีทันใด .. ดังนั้น บางที การตัดสินตกลงใจของประชาคมโลกที่จะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิวิศวกรรม Geoengineering ในระดับโลก และระดับดาวเคราะห์ในไม่ช้าจากนี้ไป อาจกำลังจะกลายเป็นความจำเป็นที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในที่สุด ..
นักวิทยาศาสตร์ ชี้ว่า ถึงแม้จะมีการดำเนินมาตรการเชิงรุกมากมาย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Reduce Greenhouse Gas Emissions แต่ภาวะโลกร้อนที่จะยังคงพยายามทำให้ต่ำลงกว่า 1.5-2oC ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ไม่น่าเป็นไปได้ ..
โลกร้อนขึ้นแล้ว 1.1oC และข้อตกลงด้านสภาพอากาศของข้อตกลงปารีส Paris Agreement ซึ่งตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1.5oC กลายเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ .. เมื่อปี 2564 องค์การพลังงานระหว่างประเทศ International Energy Agency : IEA ประกาศว่า โลกสร้างได้สถิติขึ้นใหม่สำหรับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide : CO2 Emissions ..
การตัดสินใจของมนุษยชาติสำหรับการแทรกแซงขนานใหญ่โดยเจตนาในระบบธรรมชาติของโลก Large-Scale Intervention in the Earth’s Natural Systems ด้วยเทคโนโลยีภูมิวิศวกรรม Geoengineering Technologies เพื่อต่อสู้กับสถานการณ์วิกฤติสภาพภูมิอากาศโลก Counteract Global Climate Crisis ได้รับการคาดหมายว่า อาจกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วในระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ ..
ภูมิวิศวกรรม Geoengineering คือ เป็นประเด็นที่ซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับความพยายามปรับแต่งอุณหภูมิ หรือสภาพอากาศบนโลกด้วยการแทรกแซงของมนุษย์โดยเจตนาด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การฉีดอนุภาคกำมะถัน Sulphur Particles เข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่ความสูงสูงมาก เพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์มากขึ้น หรือการแพร่กระจายสารอาหาร Nutrient เช่น ยูเรีย Urea : CH4N2O, ธาตุเหล็ก Iron : 26Fe และสารอาหารอื่นๆ ลงในมหาสมุทร Spreading Iron in the Ocean ที่เรียกกันว่า การขุนบำรุงเลี้ยงมหาสมุทร Ocean Fertilization & Blue Carbon Approach เพื่อให้มหาสมุทร The Ocean และทะเลชายฝั่ง Coastal Sea ทำหน้าที่ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Dioxide : CO2 และปล่อยคายออกซิเจน Oxygen : O2 ปริมาณมากขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ .. แนวคิดต่างๆ เช่น การปล่อยม่านบังแดดขนาดยักษ์ขึ้นสู่อวกาศ ก็ได้รับการเสนอแนะ ควบคู่ไปกับตัวเลือกที่ธรรมดาๆ เช่น การทาสีหลังคาด้วยสีขาวมาพร้อมด้วยเช่นกัน ..
ความเป็นไปได้เหล่านี้ ยังไม่ได้ถูกทดสอบทดลองที่มากพอ และบางวิธีการอาจเป็นอันตรายได้ เช่น ท้องทะเลอาจมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น รูปแบบของฝนที่เปลี่ยนไป และการเบี่ยงเบนแสงของดวงอาทิตย์ อาจทำให้พืชผลเสียหาย หรือส่งผลกระทบเชิงลบต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศวิทยาในชีวมณฑล Ecosystem in the Biosphere ก็เป็นได้ ..
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ ยืนยันว่า โลก จำเป็นต้องมีศึกษาวิจัย และตรวจสอบวิธีการที่กล่าถึงนี้อย่างรอบคอบ เข้มงวด ครอบคลุมทุกแง่มุมในสมดุลธรรมชาติที่แม่นยำ .. ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศทั่วโลกต่างๆ ไม่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้เร็วเพียงพอ Cut Greenhouse Gases Fast Enough จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่มนุษยชาติ ต้องเริ่มการพิจารณาใช้ภูมิวิศวกรรม Geoengineering เหล่านี้อย่างจริงจังได้แล้ว เพราะปัจจุบัน โลกมิได้อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงอุณหภูมิที่สูงเกินจุดเล็งที่ 1.5oC ..
นักวิทยาศาสตร์ เตือนว่า มีโอกาสสูงมากที่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลก Global Average Temperatures จะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 1.5oC เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ภายใน 5 ปี ข้างหน้านี้เท่านั้น และหากอุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้นเกิน 1.5oC อย่างต่อเนื่องต่อไป ก็จะตามมาติด ๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง และไม่อาจรักษากู้กลับคืนมาได้ Drastic & In Some Cases Irreversible Changes to the Climate รวมถึงการละลายของแผ่นน้ำแข็ง Melting of the Ice Caps, น้ำท่วม Floods, ความแห้งแล้ง Droughts, คลื่นความร้อน Heatwaves และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น Sea Level Rises ..
วิธีการทางภูมิวิศวกรรม Methods of Geoengineering บางวิธี และบางชนิด เป็นเทคนิคซึ่งให้ผลดีที่เฉียบขาด ปลอดภัย เป็นไปได้ และน่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่งอาจมีราคาถูกในเชิงเศรษฐกิจ ในขณะที่ การดักจับ และจัดเก็บคาร์บอน Carbon Capture & Storage นั้น มีต้นทุนที่สูงกว่ามาก ..
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังภูมิวิศวกรรม Geoengineering จำเป็นต้องมีการตรวจสอบอย่างรอบคอบ แต่ความกังวลของผู้คนนั้น มุ่งตรงไปที่ความพยายามดังกล่าวจะอยู่ภายใต้การควบคุมในระดับนานาชาติได้อย่างไร .. ทั้งนี้ มีความพยายามปรับเปลี่ยนสภาพอากาศบางรูปแบบที่เป็นรูปธรรมแล้ว เช่น ในประเทศไทย และจีน รวมทั้งอีกหลายในประเทศ มีการทำฝนทียม Artificial Rain กันมาแล้วอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยใช้เทคนิคการก่อเมฆ การบำรุงเลี้ยงเมฆให้อ้วน และโจมตีเมฆอ้วนเหล่านี้ ด้วยซิลเวอร์ ไอโอไดด์ Silver Iodide : AgI เพื่อบังคับ และกระตุ้นให้ฝนตกลงบนพื้นที่ต้องการ เช่น พื้นที่แห้งแล้งขาดแคลนน้ำ พื้นที่เกษตรกรรม และอ่างเก็บน้ำ เป็นต้น ..
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการกำกับดูแลที่มีศักยภาพสำหรับภูมิวิศวกรรมในระดับนานาชาติ International Structures for Geoengineering คือ ความจำเป็นที่ขาดไม่ได้ .. คณะผู้เชี่ยวชาญระดับโลกและระดับนานาชาติที่อาจเรียกว่า Global Overshoot Commission เพื่อพิจารณาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีการควบคุมภูมิวิศวกรรมศาสตร์ ทั้งในโครงสร้างระหว่างประเทศที่มีอยู่ เช่น สหประชาชาติ และความต้องการที่เป็นไปได้สำหรับหน่วยงานกำกับดูแลใหม่ ถือเป็นกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศที่สำคัญ ที่จะต้องให้เกิดขึ้นมาพร้อมด้วย ..
รายงานต่าง ๆ ของคณะกรรมาธิการฯ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจประกอบด้วยหลักการทั้งหลายที่ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งจะนำเสนอต่อรัฐบาลต่างๆ ก่อนการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศขององค์การสหประชาชาติ 2023 United Nations Climate Change Conference : COP28 ในปลายปี 2566 ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ United Arab Emirates : UAE นั้น แม้ว่าจะยังไม่มีสถานะทางกฎหมายก็ตาม แต่รายงานทั้งหมดนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสวงหาความร่วมมือในระดับนานาชาติ การชี้แจงหลักการ และแนวความคิดในกรอบกว้าง รวมทั้งพิจารณาแนวทาง และวิธีการช่วยเหลือประเทศต่างๆ ให้ปรับตัวเข้ากับการทำลายล้างของวิกฤติสภาพภูมิอากาศ Climate Crisis รวมถึงศักยภาพของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การดักจับ และจัดเก็บคาร์บอน และวิธีการทางภูมิวิศวกรรม Geoengineering เพื่อซ่อมแซมสภาพภูมิอากาศในการต่อสู้กับสถานการณ์วิกฤติสภาพภูมิอากาศ Counteract Climate Crisis และหยุดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่จุดเล็ง 1.5oC ภายในปี 2593 ให้สำเร็จได้ในที่สุด ..
…………………………..
คอลัมน์ : Energy Key
By โลกสีฟ้า ..
สนับสนุนคอลัมน์ โดย E@ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน)
ขอบคุณเอกสารอ้างอิง :-
What Is Geoengineering? | Oxford University :-
Reversing Climate Change with Geoengineering | Harvard University :-
Ocean Fertilization: A Potential Means of Geoengineering? | The Royal Society :-
https://royalsocietypublishing.org/doi/10.1098/rsta.2008.0139
Geoengineering Market Share, Trends & Forecast by 2033 | Future Market Insights :-
https://www.futuremarketinsights.com/reports/geoengineering-market
Net Zero Emissions Electricity & Carbon Neutrality :-
https://photos.app.goo.gl/EEjMKeZqJegVMpb16
Earth Overhaul | Saving Planet Earth from Climate Change Documentary :-