“พิพัฒน์” ให้นโยบาย 8 ข้อเร่งปรับค่าจ้าง 400 บาทสนองข้อสั่งการนายกฯ ย้ำถ้าอยู่ครบ 4 ปี ได้แน่ 600 บาท พร้อมให้แรงงานกู้ 5 หมื่นใช้หนี้นอกระบบ ผุดไอเดียฝึกผู้ลี้ภัยทำงานเกษตรใกล้ชายแดน แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน
เมื่อวันที่ 14 ก.ย.66 ที่กระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน เป็นประธานประชุมมอบนโยบายปี 2567 เพื่อขับเคลื่อนงานกระทรวงแรงงาน มีนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมผู้บริหารระดับสูงร่วมประชุม โดยมีนโยบายสำคัญที่จะผลักดันในปี 2567 ภายใต้แนวคิด “ทักษะดี มีงานทำ หลักประกันสังคมเด่น เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” 8 ข้อ คือ
1.พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานชั้นสูงรองรับการจ่ายค่าจ้างตามความสามารารถ
2.เร่ง Up-Skill ทักษะฝีมือแรงงานเพื่อการมีงานทำรองรับเศรษฐกิจใหม่
3.ใช้ระบบ One Stop Service บริหารการทำงานของแรงงานต่างด้าวครบจบที่จุดเดียว
4.เพิ่มจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ 100,000 อัตราภายในปี 2567
5.ลดหนี้ เติมทุน สร้างสุขแรงงาน (Micro Finance)
6.กองทุนมั่นคง แรงงานมั่งคั่ง ประกันสังคมยั่งยืน
7.ประกันสังคมยุคใหม่ สร้างความมั่นคง เพิ่มความมั่นใจ (Best E-Service)
8.สร้างรากฐานเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการคุ้มครองแรงงาน
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า จะขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลด้านแรงงานที่นายกฯ แถลงต่อสภาเมื่อวันที่ 11-12 ก.ย. โดยจะนำไปสู่การปฏิบัติให้เป็นผลสำเร็จ โดยเฉพาะในเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาท นายกฯไม่ได้กำหนดในนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา แต่เป็นการหาเสียงของพรรคการเมืองว่าค่าจ้างในปี 2570 ต้องไปถึง 600 บาท แต่ในการแถลงของนายกฯ ต้องเอา 400 บาท มาเป็นตัวตั้งต้นในปี 2567 จึงต้องสนองโดยจะต้องหารือกับทั้งฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้างและฝ่ายรัฐก่อน อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 จะเป็นการปรับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานไปก่อนทุกสาขาจะต้องได้ไม่ต่ำกว่า 400 บาท สำหรับค่าจ้างขั้นต่ำจะเป็นไปตามระบบไตรภาคี ถ้าอยู่ครบ 4 ปี 600 บาทถึงแน่นอน
นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับการยกระดับฝีมือแรงงานนั้นจะทำทั้งในประเทและต่างประเทศ โดยเฉพาะแรงงนาที่จะส่งไปต่างประเทศนั้น ต้องมีการพัฒนาฝีมือให้ตรงความต้องการระเทศต้นทางเพื่อให้ได้ค่าตอบแทนที่สูงขึ้น จะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งตนหวังว่าจะมาช่วยสร้างสมดุลเรื่องรายได้เกี่ยวกับแรงงาน เพราะปัจจุบันเรามีแรงงานต่างด้าว กว่า 4 ล้านคน ทำรายได้กว่า 4 แสนล้านบาท แต่ใช้จ่ายเงินในประเทศไทยเพียงเล็กน้อย ที่เหลือส่งกลับประเทศต้นทาง ทำให้เรายังขาดดุลตรงนี้ราวๆ 3 แสนล้านบาท จึงต้องเป้าให้มีการส่งแรงงานไทยมีฝีมือไปทำงานต่างประเทศ ตั้งเป้าให้สร้างรายได้ไม่น้อยไปกว่า 3 แสนล้านบาท หรือมากกว่านี้ นอกจากนี้ยังมีแนวคิดในการพัฒนาฝีมือแรงแรงงานผู้ลี้ภัยให้มีงานทำด้วย
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า นอกจากยังเตรียมหารือปลัดกระทรวงแรงงาน เลขาธิการประกันสังคม และผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาช่องทางเพิ่มผลกำไรให้กับกองทุนประกันสังคม จากปัจจุบัน 2.4 ล้านล้านบาท ปีที่แล้วมีกำไร 7 หมื่นล้านบาท ปี 2566 คาดว่าจะมีกำไร 6 หมื่นล้านบาท แต่ต้นตั้งเป้าให้ได้มากกว่านี้ ราวๆ ปีละ 5 % หรือ 1.2 แสนล้านบาท พร้อมกันนี้ ยังมีแนวคิดที่ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ประกันตนที่เป็นหนี้นอกระบบ ให้มีการนำเงินกองทุนฯ ส่วนหนึ่ง มาให้ผู้ประกันตนยืมไปจ่ายหนี้นอกระบบ รายละ 5 หมื่นบาท แล้วให้นายจ้างหักจากเงินเดือน ส่งคืนประกันสังคม อย่างไรก็ตามยังต้องหารือในข้อกฎหมายก่อน
ในวันเดียวกันนี้ นายพิพัฒน์ ยังได้เปิดเผยถึงสเปคผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงานคนใหม่ แทนนายบุญชอบ ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ ว่า ตนยืนยันชัดเจนว่าไม่นิยมแต่งตั้งคนข้ามห้วย ตนต้องการให้คนในกระทรวงได้เติบโต อีกทั้ง คนในกระทรวงเองซึ่งเป็นคนที่ทำงานมานาน มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านแรงงาน กฎหมายแรงงานที่เกี่ยวข้องก็สามารถที่จะเริ่มงานได้เลย ไม่ต้องมานับหนึ่งใหม่ อย่างตนก็เป็นคนมาใหม่ยังต้องใช้เวลาอีก 6 เดือน
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานเปิดเผยว่า ในส่วนของการฝึกทักษะฝีมือผู้ลี้ภัยนั้น อาจจะเริ่มต้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และมีการกำหนดพื้นที่ให้สามารถทำงานได้ ไม่ได้อนุญาตให้เดินทางไปทำงาได้ทุกพื้นที่ในประเทศไทย.