นายกฯเปิดใจ “บลูมเบิร์ก”รอ “ทักษิณ”พ้นโทษ”จะขอคำปรึกษา แย้มอาจมาดำรงตำแหน่ง “ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” เชื่อสร้างประโยชน์ประเทศและประชาชน
เมื่อว้นที่ 21 ก.ย.66 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ของสหรัฐฯ ได้เผยแพร่คำสัมภาษณ์พิเศษ ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย ระหว่างการเยือนนครนิวยอร์ก เพื่อร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (ยูเอ็นจีเอ) มีเนื้อหาตอนหนึ่ง ตั้งเป้าขยายการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยให้ได้ 5% ต่อปี เริ่มตั้งแต่ปี 2567 โดยจะพยายามโน้มน้าวบริษัทชั้นนำของสหรัฐให้เข้ามาลงทุน และเพิ่มการลงทุนในไทยให้มากขึ้น หนึ่งในนั้น คือ เทสลา บริษัทผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลก
นายเศรษฐา กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตตามหลังหลายประเทศในภูมิภาค และกล่าวถึงการใช้นโยบายอุดหนุนพลังงาน การพักหนี้สำหรับเกษตรกรและธุรกิจขนาดเล็ก เป็นเวลา 3 ปี การยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนและอีกหลายประเทศ และการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
อนึ่ง นายเศรษฐากล่าวถึงแผนการเยือนสหรัฐอีกครั้งในช่วงเดือนพ.ย.นี้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอด ผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) และแสดงความเชื่อมั่นว่า จะใช้โอกาสนี้กระชับความร่วมมือกับสหรัฐ
เกี่ยวกับการแข่งขันระหว่างสหรัฐกับจีน ที่ต่างฝ่ายต่างเดินหน้าขยับขยายอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายเศรษฐา กล่าวว่า เป็นหนึ่งในความวิตกกังวลใหญ่หลวง ว่าประเทศขนาดเล็กอยู่ในสถานะที่ต้องเลือกข้าง อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐายืนยันว่า จีนและไทยต่างมีความสำคัญในระดับเท่าเทียมกัน
นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจ นายเศรษฐา ยังกล่าวถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยว่า เมื่อใดก็ตามที่นายทักษิณพ้นโทษ อดีตนายกรัฐมนตรี “จะมีบทบาทสำคัญ” ในรัฐบาลชุดนี้ โดยแสดงความเชื่อมั่นว่า ความรู้และความสามารถของนายทักษิณจะเพิ่มเสถียรภาพให้กับรัฐบาล
“ผมเชื่อว่าเขาจะสร้างประโยชน์เพิ่มให้กับรัฐบาลและคนไทย” นายเศรษฐากล่าวและว่า “คุณทักษิณยังคงเป็นนายกฯ ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ดังนั้นนี่เป็นเหตุผลที่ดีอย่างเห็นได้ชัดว่า ถ้าหากท่านเป็นอิสระแล้วผมไม่ไปขอความเห็นจากท่านหรืออดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ก็คงไม่ฉลาดนัก” นายเศรษฐากล่าว
ทั้งนี้ นายเศรษฐากล่าวว่า นายทักษิณอาจดำรงตำแหน่ง “ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” ซึ่งจะเป็นตำแหน่งใหม่ในรัฐบาลชุดนี้ ที่นายเศรษฐากล่าวด้วยว่า นายทักษิณ “สามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่รัฐบาลและชาวไทย” แต่ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด
นอกจากนี้ นายเศรษฐากล่าวถึงนโยบายกัญชาของรัฐบาลชุดนี้ ว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายให้ได้ภายในระยะเวลา 6 เดือน เพื่อควบคุมให้การใช้กัญชาอยู่แต่เฉพาะเรื่องทางการแพทย์ และจะไม่มีการนำกัญชามาใช้เพื่อสันทนาการอีก หลังไทยเป็นประเทศแรกในเอเชีย ซึ่งปลดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด เมื่อปี 2565.