เมื่อวันเสาร์ที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา มีมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ขึ้นดำรงตำแหน่ง “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค.66 ทำให้นับจากนี้ “บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ก็เป็น “ผบ.ตร.” เต็มตัว โดยจะอยู่ในตำแหน่งเป็นเบอร์หนึ่งของรั้วปทุมวัน เป็นเวลาหนึ่งปี
หลังจากนี้ก็ต้องรอดูผลงานของ “ผบ.ตร.ต่อ” ว่า จะทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหน โดยเฉพาะงานที่รอการพิสูจน์ฝีมือ ก็คืองานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมประเภทต่างๆ ทั้งอาชญากรรมปกติและอาชญากรรมออนไลน์ ที่ยังไม่ได้ลดน้อยลง รวมถึงการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่หลายคนเป็นห่วง หลังเห็นการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างหนักในช่วงหลัง
ส่วน “แนวรบสีกากี-ตำรวจตัดตำรวจ” ที่เป็นข่าวดังมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีการมองกันว่า เป็นผลพวงของ “ศึกชิงอำนาจในรั้วปทุมวัน” ระหว่าง “บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” กับ “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” รองผบ.ตร. ในช่วงก่อนการประชุมก.ตร.เพื่อแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่ ที่มีการเข้าตรวจค้น “เซฟเฮ้าส์บิ๊กโจ๊ก” และมีการดำเนินคดี รวมถึงสั่งย้ายนายตำรวจ 8 นาย ที่เป็นลูกน้องคนสนิทบิ๊กโจ๊ก ว่าเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ ถึงขั้น “บิ๊กโจ๊ก” ขู่หากแฉเมื่อไหร่ ก็พังทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ถึงตอนนี้หลายคนเริ่มคิดว่าสุดท้าย อาจเกิด “มวยล้ม” ขึ้นแล้ว หลัง “บิ๊กโจ๊ก” เข้าถ้ำเสือ เซฟเฮ้าส์ของ “บิ๊กต่อ” แถวเมืองทองธานี เคลียร์ใจกับ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ก่อนจะมีการโปรดเกล้าฯให้เป็นผบ.ตร. 1 วัน จนเกิดภาพจับมือ โอบเอวกันแบบชื่นมื่น ระหว่าง “2 บิ๊กตำรวจ” ที่ทำให้เกิดภาพ
“เสือสองตัวอยู่ที่เดียวกันได้”
หลังทั้ง 2 คน ได้มีการปรับความเข้าใจกันหลายๆ เรื่อง และ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ก็ออกมาย้ำว่า “ตัวผมกับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์มีความสัมพันธ์ที่ดีมาก ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิด หลังจากที่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม จะออกมาชี้แจงทุกประเด็น ยืนยันว่าในส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีใครทะเลาะกัน”
ยิ่งเมื่อ “อนันต์ชัย ไชยเดช” ทนายความคดีค้นบ้านพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวแบบมีนัยยะว่า…ธนู เมื่อขึ้นสายแล้ว ต้องยิงให้เต็มเหนี่ยวและตรงตรงเป้าหมาย! ขณะที่แม่ทัพออกรบอยู่บนหลังม้า ได้เล็งและยิงลูกธนูออกไปยังศัตรูฝ่ายตรงข้าม ทุกดอกที่ยิงออกไปถูกศัตรูอย่างแม่นยำ จนศัตรูถึงแก่ความตาย และกำลังเล็งจะยิงอีก 1 ดอก ไปยังแม่ทัพของศัตรู ซึ่งหากยิงธนูดอกนี้ไปการรบครั้งนี้จะชนะทันที แต่ในขณะที่แม่ทัพกำลังจะยิงธนูนั้น มีพระราชโองการจากฮ่องเต้ว่า ให้ถอยทัพเพราะศัตรูขอเจรจา แม่ทัพจะทำอย่างไร ???
“ถ้าถามผม ผมจะตอบว่า “เกาทัณฑ์เมื่อขึ้นสายแล้ว ก็ต้องยิงให้เต็มเหนี่ยว และตรงเป้าหมาย” ถ้าผมเป็นแม่ทัพ ผมยิง แม้จะขัดราชโองการและแม้จะกลับมาถูกตัดหัวก็ตาม เพราะแม่ทัพจะชนะศึกครั้งนี้ทันที ศัตรูจะเกรงกลัวไม่กล้าต่อกรอีกต่อไป”
มันก็จะยิ่งทำให้กระแสข่าวสุดท้ายแนวรบสีกากีระอุ อาจถึงคราว “สงบลงชั่วคราว” ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงขึ้น หาก “บิ๊กโจ๊ก” สั่งให้ทีมงานถอย-สงบศึกชั่วคราว
ส่วนเรื่องรูปคดีชอง “ลูกน้อง 8 คน” ก็ให้ว่ากันไปตามการสืบสวนสอบสวน ที่ก็ไม่แน่ สุดท้ายอาจสั่งไม่ฟ้องตำรวจที่ตกเป็นข่าวก็ได้
ทว่าเรื่องนี้ “พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ” ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบช.กมค.) ในฐานะที่คุมคดีสอบสวนเว็บพนันออนไลน์ดังกล่าว ก็คงไม่ยอมง่ายๆ เพราะที่ผ่านมาถือว่า “เล่นใหญ่” ชนกับระดับ “รองผบ.ตร.” มาแล้ว หากงานนี้ “เกิดมวยล้ม” ขึ้นมา ก็เสียเครดิตการทำงานไม่น้อย จึงไม่แน่ มันอาจเป็นแค่ “สงบศึกชั่วคราว” เท่านั้น ส่วนทางคดีก็เดินไปเพราะไม่แน่ “ฝ่ายตรงข้ามบิ๊กโจ๊ก” อาจเก็บเรื่องคดีลูกน้องบิ๊กโจ๊ก พัวพันคดีเว็บพนันออนไลน์ ไว้เป็นอาวุธคอยปล่อยออกมาอีกครั้งเมื่อโอกาสเหมาะสม
โดยเฉพาะในช่วงแต่งตั้งผบ.ตร.ปีหน้า ก็ได้ เพราะการแต่งตั้งผบ.ตร.ปีหน้า หาก “พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” รองผบ.ตร. ที่จะเกษียณปี 2567 ไม่ข้ามห้วยไปอยู่หน่วยอื่น ภายในเดือนต.ค.นี้ โดย “บิ๊กรอย” ขอเกษียณในตำแหน่ง “รองผบ.ตร.” ก็จะทำให้ การแต่งตั้งผบ.ตร.ปีหน้า “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ก็จะขึ้นมาเป็น “รองผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 1” ทันที โดยมี “บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์” รอง ผบ.ตร. นรต.41 เกษียณปี 2569 ขึ้นมาเป็นรองผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 2
ดังนั้น หากจะสกัดไม่ให้ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” เป็นผบ.ตร.ปีหน้า ฝ่ายที่ต้องการสกัด ก็อาจจำเป็นต้องมี “อาวุธลับในมือ” เตรียมพร้อมไว้แต่เนิ่นๆ ให้ “บิ๊กโจ๊ก” ระแวงไปเรื่อยๆ ว่า “บริวารเป็นพิษ” จะทำให้ไม่ได้ลุ้นขึ้นเป็นผบ.ตร.ปีหน้าหรือไม่
และสำหรับการทำงานของ “บิ๊กต่อ” ผบ.ตร.คนปัจจุบัน นอกเหนือจากงานรูทีนทั่วไป คือการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมแล้ว งานสำคัญที่รออยู่และจะเป็นบทพิสูจน์การทำหน้าที่ “ผบ.ตร.” ของ “บิ๊กต่อ” ได้เป็นอย่างดี ก็คือ “การทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายพลประจำปี” ในระดับ “รองผบ.ตร.-ผู้บังคับการ” คือ พล.ต.อ.-พล.ต.ต.ทั่วประเทศ ที่เลื่อนมาจากการแต่งตั้งในเดือนกันยายนมาเป็นเดือนตุลาคม
ซึ่งรอบนี้ถือว่า “บิ๊กต่อ” มีอำนาจจัดโผแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ต้องมาทำโผร่วมกับ “บิ๊กเด่น-พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์” ที่เกษียณไป
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบัน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฯ มีการเขียนล็อกไว้เรื่องการแต่งตั้ง “บิ๊กตำรวจระดับสูง” ต้องยึดหลัก “อาวุโส” ทำให้ตำแหน่งหลักๆ เช่น รองผบ.ตร.-จเรตำรวจ ที่จะตั้งจากผช.ผบ.ตร. ที่รอบนี้ จึงไม่น่าจะมีอะไรพลิกโผมากนัก โดยตามข่าวบอกว่า น่าจะมีชื่อ พล.ต.ท.ไกรบุญ ทรวดทรง-พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช-พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ที่ขึ้นเป็นรองผบ.ตร.ตามลำดับอาวุโส
ส่วนระดับ ผช.ผบ.ตร. คาดว่าจะมีชื่อของ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ- พล.ต.ท.ภาคภูมิพิพัฒน์ สัจจพันธุ์ ผบช.สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง-พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7-พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เป็นต้น
ขณะที่เก้าอี้ ผู้บัญชาการ-พล.ต.ท. พบว่า หน่วยหลักๆ หลายคนยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่โดนปรับเปลี่ยนโยกย้าย โดยเฉพาะ 2 เก้าอี้ใหญ่คือ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล คาดว่า “บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ยังหนุนให้อยู่ในตำแหน่งเดิม และฝ่าย “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานก.ตร. ก็คงไม่ขัดข้อง
ส่วน “พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ” ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี เมื่อกล้าเล่นใหญ่ ชนกับ “บิ๊กโจ๊ก” หลายคนก็เชื่อว่า รอบนี้ “บิ๊กต่อ” น่าจะดันให้ ขยับจากสตช.ไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ที่คาดว่าน่าจะเป็นภาค 6 ที่จะไปแทนพล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผบช.ภ.6 ที่จะขึ้นไปเป็นผช.ผบ.ตร.
สำหรับภาค 6 จะรับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง เช่น นครสวรรค์-พิษณุโลก ที่ก็เคยเป็นฐานที่มั่นสำคัญของพี่ชาย “เสธหิ-หิมาลัย ผิวพรรณ” อดีตนายทหารคนดัง ที่ก่อนหน้านี้ก็ไปช่วยงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาที่รับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและตอนบนบางจังหวัด
รอดูกันว่าโผแต่งตั้งโยกย้ายนายพลประจำปี สุดท้ายแล้ว “ตำรวจในสายบิ๊กต่อ” จะได้ผงาดกันยกแผงหรือไม่ และงานนี้จะมี “ตั๋วการเมือง” เข้ามามาก-น้อยแค่ไหน เรื่องนี้จึงถือเป็นบทพิสูจน์การทำงานของ “ผบ.ตร.-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ได้เป็นอย่างดีว่าจะแต่งตั้งโยกย้ายอย่างเป็นธรรม ทำโผออกมาได้ดีแค่ไหน
……………………………………
คอลัมน์ : ส่องป้อมค่ายการเมือง
โดย “พระจันทร์เสี้ยว”